โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม
โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง คือภัยเงียบที่ซ่อนอยู่ในตัวเราอย่างแนบเนียน กว่าจะรู้ตัว ก็มักสายเกินแก้ หลายคนไม่ทันสังเกตอาการเล็กน้อยที่ร่างกายพยายามเตือน จนกระทั่งเกิดภาวะฉุกเฉินที่อาจเปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล
บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่สาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง สัญญาณเตือน ไปจนถึงแนวทางดูแลตนเองอย่างถูกวิธี เพื่อให้คุณสามารถป้องกันได้ก่อนจะสายเกินไป
โรคหลอดเลือดหัวใจและสมองคืออะไร
โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง (Cardiovascular Disease, CVD) คือ กลุ่มของโรคที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด โดยเฉพาะที่หลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง เช่น หลอดเลือดตีบ อุดตัน หรือแตก ซึ่งล้วนส่งผลกระทบรุนแรงต่อชีวิต กลุ่มโรคที่พบได้บ่อย ได้แก่: โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease), กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (Heart Attack), โรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke ซึ่งแบ่งเป็นหลอดเลือดตีบ/อุดตัน (Ischemic Stroke) และหลอดเลือดแตก (Hemorrhagic Stroke)
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง
ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักคือ ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้และปัจจัยที่ควบคุมได้- ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น
- อายุ: ความเสี่ยงเพิ่มตามอายุ เช่น ผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงมากขึ้นกว่าวัยกลางคนและวัยทำงาน
- เพศ: ผู้ชายมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิงในช่วงก่อนหมดประจำเดือน แต่หลังจากที่ผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้ว ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นจนใกล้เคียงกับผู้ชาย
- พันธุกรรม: คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองมักมีความเสี่ยงสูงกว่า
- ปัจจัยที่ควบคุมได้ เช่น
- ความดันโลหิตสูง: เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เส้นเลือดหัวใจตีบและเส้นเลือดในสมองตีบหรือแตกจากความดันที่สูงเพิ่มขึ้น
- ไขมันในเลือดสูง: คอเลสเตอรอลสะสมในผนังหลอดเลือด ก่อให้เกิดการตีบตัน
- เบาหวาน: ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเรื้อรัง จะทำให้เกิดการเสื่อมของหลอดเลือดเร็วมากขึ้น ทำให้หลอดเลือดเปราะและแตกง่ายขึ้น
- การสูบบุหรี่: นิโคตินทำลายเยื่อบุหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงลิ่มเลือด
- น้ำหนักเกิน/โรคอ้วน: ส่งผลต่อความดัน ระดับไขมัน และภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง
ปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง มีบทบาทสำคัญในการเร่งให้เกิดความเสื่อมของผนังหลอดเลือด รวมถึงเกิดการสะสมของไขมันและแคลเซียม (Plaque) ที่ผนังหลอดเลือด นำไปสู่ภาวะหลอดเลือดตีบแคบ หรือในบางกรณีอาจทำให้หลอดเลือดเปราะและแตก โดยเฉพาะหลอดเลือดสมองซึ่งมีความเปราะบางและไวต่อแรงดันสูงเพิ่มขึ้น
เส้นเลือดในสมองแตกเกิดจากอะไร
ภาวะเส้นเลือดในสมองแตก (Hemorrhagic Stroke) เป็นหนึ่งในประเภทของโรคหลอดเลือดสมอง เกิดจากการฉีกขาดของหลอดเลือดภายในสมอง ซึ่งส่งผลให้เลือดรั่วออกและทำลายเนื้อเยื่อสมองโดยรอบ ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่:- ภาวะความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมได้
- อาการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุที่ศีรษะ
- เป็นโรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง
- มีโปรตีนสะสมผิดปกติในผนังหลอดเลือด
- การได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดที่มากเกินไป
- ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (TIA) เกิดจากสมองมีเลือดไปเลี้ยงไม่พอเป็นระยะเวลาชั่วคราว ส่วนใหญ่มักจะมีอาการที่ดีขึ้นหลังผ่านไปสักระยะ
เส้นเลือดหัวใจตีบเกิดจากอะไร
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เกิดจากการที่หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจแข็งตัว หรือมีไขมัน (พลัค) สะสมที่ผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง เลือดไหลผ่านได้น้อยลง ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และหากเกิดการอุดตันอย่างสมบูรณ์ ก็อาจนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน
สัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง
การสังเกตอาการโรคหัวใจถือเป็นสิ่งสำคัญที่อาจช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ โดยเฉพาะในการเกิดโรคอย่างฉับพลัน โดยอาการที่พบบ่อย มีดังนี้
- อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ
- เจ็บแน่นหน้าอก
- ปวดเค้นหัวใจ อาจร้าวไปที่แขน ไหล่ซ้าย ขากรรไกร หรือหลัง
- หายใจลำบาก ซีด คลื่นไส้อาเจียน
- ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- เหงื่อออกมากผิดปกติ
- หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม และอาจหมดสติได้
- อาการเส้นเลือดในสมองตีบหรือแตก สามารถสังเกตได้ด้วยหลักการ F.A.S.T.
- F (Face): ใบหน้าเบี้ยว ปากตกครึ่งซีก
- A (Arms): แขนขาอ่อนแรง เมื่อยกแขนขึ้นมาระดับอก พบว่า ยกไม่ขึ้นข้างใดข้างหนึ่ง
- S (Speech): พูดไม่ชัด สับสน หรือไม่สามารถสื่อสารได้
- T (Time): หากพบอาการเหล่านี้ ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะภายใน 4.5 ชั่วโมงแรก และโทรสายด่วน 1669
การจำหลักการ F.A.S.T. จะช่วยให้จดจำอาการเตือนของโรคหลอดเลือดสมองได้ง่ายขึ้น และช่วยในการประเมินเบื้องต้นเมื่อพบผู้มีอาการที่คล้ายกับเส้นเลือดในสมองตีบหรือแตก
วิธีการตรวจและวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง
วิธีตรวจโรคหัวใจด้วยตัวเองเบื้องต้นทำได้โดยการสังเกตอาการผิดปกติต่าง ๆ เช่น อาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย ใจสั่น อย่างไรก็ตาม การตรวจประเมินที่แม่นยำต้องอาศัยการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองสามารถตรวจวินิจฉัยได้หลายวิธี เช่น- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG): เพื่อประเมินภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ
- การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound): เพื่อประเมินการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจและการไหลเวียนของเลือด
- การตรวจหลอดเลือดด้วยคอมพิวเตอร์ (CT Angiogram): เพื่อตรวจดูหลอดเลือดหัวใจโดยละเอียดและหาคราบหินปูนที่ผนังหลอดเลือด
- การฉีดสีเข้าหลอดเลือด (Angiogram): เพื่อตรวจหาการตีบหรืออุดตันของหลอดเลือดหัวใจหรือสมองโดยตรง
การป้องกันและรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง
โรคหลอดเลือดหัวใจและสมองแม้ว่าจะดูอันตราย มีหลักฐานทางการแพทย์ชัดเจนว่า การรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตสามารถป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และเบาหวานโดยการปรับเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการดูแลสุขภาพเป็นประจำ ดังนี้- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน: ลดไขมันอิ่มตัว น้ำตาล และโซเดียม เพิ่มการรับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนคุณภาพดี เช่น ปลาและเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ หรือประมาณ 30 นาที/วัน อย่างน้อย 5 วัน/สัปดาห์ และควรเลือกกิจกรรมที่เหมาะกับร่างกาย
- งดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์: ปัจจัยเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อการเสื่อมของหลอดเลือด
- ควบคุมความเครียดและนอนหลับให้เพียงพอ: ผู้ใหญ่ควรนอนหลับให้ได้ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน และมีกิจกรรมผ่อนคลายเพื่อดูแลสุขภาพจิต
- ตรวจสุขภาพประจำปี: เพื่อเฝ้าระวังความเสี่ยงและเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
จากการศึกษาของ Yusuf และคณะ (INTERHEART study, The Lancet, 2004) พบว่า การปรับพฤติกรรมสุขภาพสามารถลดความเสี่ยงของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันได้ถึง 90% ในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูง ในส่วนของขั้นตอนการรักษาแพทย์อาจพิจารณาจ่ายยาในรายที่พบความผิดปกติไม่มากและหายเองได้ หรือการผ่าตัดในรายที่พบความผิดปกติมาก รวมถึงการรักษาด้วยการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน หรือการผ่าตัดบายพาสเพื่อแก้ปัญหาการอุดตันของหลอดเลือด ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการที่ตรวจพบ
เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ควรทำอย่างไร
หากพบผู้มีอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง ควรปฏิบัติดังนี้
- โทรเรียกรถพยาบาลฉุกเฉินทันที (1669) เพื่อให้ได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วที่สุด
- ถ้าผู้ป่วยหมดสติและไม่หายใจ ให้ทำการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) โดยกดหน้าอก 30 ครั้ง สลับกับเป่าลมเข้าปอด 2 ครั้ง จนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง
- จดบันทึกเวลาที่เริ่มมีอาการและอาการที่พบ เพื่อแจ้งแพทย์สำหรับการวินิจฉัยและรักษา
- ไม่ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ เพื่อป้องกันการสำลักและภาวะแทรกซ้อน
การรู้จักสังเกตอาการและเข้าใจถึงโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง จะช่วยให้เราตระหนักถึงความเสี่ยงและสามารถป้องกันตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าลืมว่าการป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา เริ่มต้นใส่ใจสุขภาพตั้งแต่วันนี้เพื่อลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทฯ ในเครือ BGI Genomics ที่ก่อตั้งในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ที่ได้รับมาตรฐาน ISO15189, ISO15190 และ ISO/IEC 27001:2022 จากสถาบันมาตรฐานอังกฤษ (BSI) ให้บริการตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรมที่ครอบคลุมในหลายด้าน ได้แก่การตรวจหายีนมะเร็งเพื่อหาตัวยาในการรักษาแบบเฉพาะบุคคล
- การตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมของทารกในครรภ์มารดา
- การตรวจคัดกรองพาหะโรคทางพันธุกรรมสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตร หรือมีบุตรยาก
- การตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนก่อมะเร็ง เพื่อหาตัวยาในการรักษาแบบเฉพาะบุคคล
- การตรวจคัดกรองความเสี่ยงยีนก่อโรคการเกิดมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมการตรวจวิเคราะห์กลุ่มโรคติดเชื้อ รวมถึงมะเร็งปากมดลูกและ COVID-19
- การตรวจวิเคราะห์พันธุกรรมเฉพาะบุคคลเพื่อวางแผนสุขภาพและชะลอวัย
โทร: 094 616 6878
อีเมล: marketing@bangkokgenomics.com
เว็บไซต์: https://www.bangkokgenomics.com
ที่อยู่: 3689 ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กทม. 10110
เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 8.30-17.30 น., เสาร์ 9.00-15.00 น.