แชร์

โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

590 ผู้เข้าชม

โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง คือภัยเงียบที่ซ่อนอยู่ในตัวเราอย่างแนบเนียน กว่าจะรู้ตัว ก็มักสายเกินแก้ หลายคนไม่ทันสังเกตอาการเล็กน้อยที่ร่างกายพยายามเตือน จนกระทั่งเกิดภาวะฉุกเฉินที่อาจเปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล

บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่สาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง สัญญาณเตือน ไปจนถึงแนวทางดูแลตนเองอย่างถูกวิธี เพื่อให้คุณสามารถป้องกันได้ก่อนจะสายเกินไป

โรคหลอดเลือดหัวใจและสมองคืออะไร

โรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง (Cardiovascular Disease, CVD) คือ กลุ่มของโรคที่เกิดจากการทำงานผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด โดยเฉพาะที่หลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง เช่น หลอดเลือดตีบ อุดตัน หรือแตก ซึ่งล้วนส่งผลกระทบรุนแรงต่อชีวิต กลุ่มโรคที่พบได้บ่อย ได้แก่: โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease), กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (Heart Attack), โรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke ซึ่งแบ่งเป็นหลอดเลือดตีบ/อุดตัน (Ischemic Stroke) และหลอดเลือดแตก (Hemorrhagic Stroke)

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง

ปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลักคือ ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้และปัจจัยที่ควบคุมได้
  • ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เช่น
    • อายุ: ความเสี่ยงเพิ่มตามอายุ เช่น ผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงมากขึ้นกว่าวัยกลางคนและวัยทำงาน
    • เพศ: ผู้ชายมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิงในช่วงก่อนหมดประจำเดือน แต่หลังจากที่ผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้ว ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นจนใกล้เคียงกับผู้ชาย
    • พันธุกรรม: คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองมักมีความเสี่ยงสูงกว่า
  • ปัจจัยที่ควบคุมได้ เช่น
    • ความดันโลหิตสูง: เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เส้นเลือดหัวใจตีบและเส้นเลือดในสมองตีบหรือแตกจากความดันที่สูงเพิ่มขึ้น
    • ไขมันในเลือดสูง: คอเลสเตอรอลสะสมในผนังหลอดเลือด ก่อให้เกิดการตีบตัน
    • เบาหวาน: ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเรื้อรัง จะทำให้เกิดการเสื่อมของหลอดเลือดเร็วมากขึ้น ทำให้หลอดเลือดเปราะและแตกง่ายขึ้น
    • การสูบบุหรี่: นิโคตินทำลายเยื่อบุหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงลิ่มเลือด
    • น้ำหนักเกิน/โรคอ้วน: ส่งผลต่อความดัน ระดับไขมัน และภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง

ปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง มีบทบาทสำคัญในการเร่งให้เกิดความเสื่อมของผนังหลอดเลือด รวมถึงเกิดการสะสมของไขมันและแคลเซียม (Plaque) ที่ผนังหลอดเลือด นำไปสู่ภาวะหลอดเลือดตีบแคบ หรือในบางกรณีอาจทำให้หลอดเลือดเปราะและแตก โดยเฉพาะหลอดเลือดสมองซึ่งมีความเปราะบางและไวต่อแรงดันสูงเพิ่มขึ้น

เส้นเลือดในสมองแตกเกิดจากอะไร

ภาวะเส้นเลือดในสมองแตก (Hemorrhagic Stroke) เป็นหนึ่งในประเภทของโรคหลอดเลือดสมอง เกิดจากการฉีกขาดของหลอดเลือดภายในสมอง ซึ่งส่งผลให้เลือดรั่วออกและทำลายเนื้อเยื่อสมองโดยรอบ ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่:
  • ภาวะความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมได้
  • อาการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุที่ศีรษะ
  • เป็นโรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง
  • มีโปรตีนสะสมผิดปกติในผนังหลอดเลือด
  • การได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือดที่มากเกินไป
  • ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว (TIA) เกิดจากสมองมีเลือดไปเลี้ยงไม่พอเป็นระยะเวลาชั่วคราว ส่วนใหญ่มักจะมีอาการที่ดีขึ้นหลังผ่านไปสักระยะ

เส้นเลือดหัวใจตีบเกิดจากอะไร

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เกิดจากการที่หลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจแข็งตัว หรือมีไขมัน (พลัค) สะสมที่ผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง เลือดไหลผ่านได้น้อยลง ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และหากเกิดการอุดตันอย่างสมบูรณ์ ก็อาจนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

สัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง

การสังเกตอาการโรคหัวใจถือเป็นสิ่งสำคัญที่อาจช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ โดยเฉพาะในการเกิดโรคอย่างฉับพลัน โดยอาการที่พบบ่อย มีดังนี้

  • อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ
    • เจ็บแน่นหน้าอก 
    • ปวดเค้นหัวใจ อาจร้าวไปที่แขน ไหล่ซ้าย ขากรรไกร หรือหลัง
    • หายใจลำบาก ซีด คลื่นไส้อาเจียน
    • ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ
    • เหงื่อออกมากผิดปกติ
    • หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม และอาจหมดสติได้
  • อาการเส้นเลือดในสมองตีบหรือแตก สามารถสังเกตได้ด้วยหลักการ F.A.S.T.
    • F (Face): ใบหน้าเบี้ยว ปากตกครึ่งซีก
    • A (Arms): แขนขาอ่อนแรง เมื่อยกแขนขึ้นมาระดับอก พบว่า ยกไม่ขึ้นข้างใดข้างหนึ่ง
    • S (Speech): พูดไม่ชัด สับสน หรือไม่สามารถสื่อสารได้
    • T (Time): หากพบอาการเหล่านี้ ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะภายใน 4.5 ชั่วโมงแรก และโทรสายด่วน 1669

การจำหลักการ F.A.S.T. จะช่วยให้จดจำอาการเตือนของโรคหลอดเลือดสมองได้ง่ายขึ้น และช่วยในการประเมินเบื้องต้นเมื่อพบผู้มีอาการที่คล้ายกับเส้นเลือดในสมองตีบหรือแตก

วิธีการตรวจและวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง

วิธีตรวจโรคหัวใจด้วยตัวเองเบื้องต้นทำได้โดยการสังเกตอาการผิดปกติต่าง ๆ เช่น อาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย ใจสั่น อย่างไรก็ตาม การตรวจประเมินที่แม่นยำต้องอาศัยการตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองสามารถตรวจวินิจฉัยได้หลายวิธี เช่น 
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG): เพื่อประเมินภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ
  • การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound): เพื่อประเมินการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจและการไหลเวียนของเลือด
  • การตรวจหลอดเลือดด้วยคอมพิวเตอร์ (CT Angiogram): เพื่อตรวจดูหลอดเลือดหัวใจโดยละเอียดและหาคราบหินปูนที่ผนังหลอดเลือด
  • การฉีดสีเข้าหลอดเลือด (Angiogram): เพื่อตรวจหาการตีบหรืออุดตันของหลอดเลือดหัวใจหรือสมองโดยตรง

การป้องกันและรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง

โรคหลอดเลือดหัวใจและสมองแม้ว่าจะดูอันตราย มีหลักฐานทางการแพทย์ชัดเจนว่า การรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตสามารถป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และเบาหวานโดยการปรับเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการดูแลสุขภาพเป็นประจำ ดังนี้
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน: ลดไขมันอิ่มตัว น้ำตาล และโซเดียม เพิ่มการรับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนคุณภาพดี เช่น ปลาและเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน 
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: อย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ หรือประมาณ 30 นาที/วัน อย่างน้อย 5 วัน/สัปดาห์ และควรเลือกกิจกรรมที่เหมาะกับร่างกาย
  • งดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์: ปัจจัยเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อการเสื่อมของหลอดเลือด
  • ควบคุมความเครียดและนอนหลับให้เพียงพอ: ผู้ใหญ่ควรนอนหลับให้ได้ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน และมีกิจกรรมผ่อนคลายเพื่อดูแลสุขภาพจิต
  • ตรวจสุขภาพประจำปี: เพื่อเฝ้าระวังความเสี่ยงและเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น 

จากการศึกษาของ Yusuf และคณะ (INTERHEART study, The Lancet, 2004) พบว่า การปรับพฤติกรรมสุขภาพสามารถลดความเสี่ยงของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันได้ถึง 90% ในกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูง ในส่วนของขั้นตอนการรักษาแพทย์อาจพิจารณาจ่ายยาในรายที่พบความผิดปกติไม่มากและหายเองได้ หรือการผ่าตัดในรายที่พบความผิดปกติมาก รวมถึงการรักษาด้วยการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน หรือการผ่าตัดบายพาสเพื่อแก้ปัญหาการอุดตันของหลอดเลือด ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการที่ตรวจพบ

เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ควรทำอย่างไร

หากพบผู้มีอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง ควรปฏิบัติดังนี้

  • โทรเรียกรถพยาบาลฉุกเฉินทันที (1669) เพื่อให้ได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วที่สุด
  • ถ้าผู้ป่วยหมดสติและไม่หายใจ ให้ทำการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) โดยกดหน้าอก 30 ครั้ง สลับกับเป่าลมเข้าปอด 2 ครั้ง จนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง
  • จดบันทึกเวลาที่เริ่มมีอาการและอาการที่พบ เพื่อแจ้งแพทย์สำหรับการวินิจฉัยและรักษา
  • ไม่ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำ เพื่อป้องกันการสำลักและภาวะแทรกซ้อน

การรู้จักสังเกตอาการและเข้าใจถึงโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง จะช่วยให้เราตระหนักถึงความเสี่ยงและสามารถป้องกันตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าลืมว่าการป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา เริ่มต้นใส่ใจสุขภาพตั้งแต่วันนี้เพื่อลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทฯ ในเครือ BGI Genomics ที่ก่อตั้งในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ที่ได้รับมาตรฐาน ISO15189, ISO15190 และ ISO/IEC 27001:2022 จากสถาบันมาตรฐานอังกฤษ (BSI) ให้บริการตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรมที่ครอบคลุมในหลายด้าน ได้แก่การตรวจหายีนมะเร็งเพื่อหาตัวยาในการรักษาแบบเฉพาะบุคคล

  • การตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมของทารกในครรภ์มารดา
  • การตรวจคัดกรองพาหะโรคทางพันธุกรรมสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตร หรือมีบุตรยาก
  • การตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนก่อมะเร็ง เพื่อหาตัวยาในการรักษาแบบเฉพาะบุคคล
  • การตรวจคัดกรองความเสี่ยงยีนก่อโรคการเกิดมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมการตรวจวิเคราะห์กลุ่มโรคติดเชื้อ รวมถึงมะเร็งปากมดลูกและ COVID-19
  • การตรวจวิเคราะห์พันธุกรรมเฉพาะบุคคลเพื่อวางแผนสุขภาพและชะลอวัย
ติดต่อเรา
โทร: 094 616 6878
อีเมล: marketing@bangkokgenomics.com
เว็บไซต์: https://www.bangkokgenomics.com
ที่อยู่: 3689 ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กทม. 10110
เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 8.30-17.30 น., เสาร์ 9.00-15.00 น.

บทความที่เกี่ยวข้อง
มะเร็งระยะที่ 4 กับความหวังใหม่ในการรักษาและการดูแลแบบองค์รวม
มะเร็งระยะที่ 4 หรือมะเร็งระยะลุกลาม ต่างมีทางเลือกการรักษาที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยมีอายุที่ยืนยาว พร้อมกับคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
Minimal Residual Disease (MRD) คืออะไร สำคัญอย่างไรต่อการรักษาโรคมะเร็ง
Minimal Residual Disease (MRD) หรือ โรคตกค้างน้อยที่สุด คือเซลล์มะเร็งเล็กน้อยที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายหลังการรักษา และมีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินผลการรักษา
Comprehensive Genetic Testing คืออะไร จำเป็นอย่างไรต่อการดูแลสุขภาพ
Comprehensive Genetic Testing หรือการตรวจรหัสพันธุกรรมแบบครอบคลุม ที่ช่วยให้เราเข้าใจความเสี่ยงทางพันธุกรรม วินิจฉัยโรค และวางแผนการรักษาได้แม่นยำและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy