Wellness คืออะไร เทรนด์สุขภาพยุคใหม่เพื่อความยั่งยืน
ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและความเครียด ส่งผลให้หลายๆ คนเริ่มมีปัญหาสุขภาพทั้งทางกายและทางใจ ทำให้การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมหรือ "Wellness" กำลังได้รับความสนใจอย่างมาก เพราะแนวคิดนี้ไม่ได้มองว่าสุขภาพ หมายถึงการไม่เจ็บป่วยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมีชีวิตที่สมดุลและมีความสุขในทุกมิติ
แต่การดูแลสุขภาพแบบ Wellness คืออะไร ในบทความนี้ เราจะพาทุกคนไปหาคำตอบกัน ทั้งความหมายและความสำคัญของการดูแลสุขภาพแบบ Wellness พร้อมแนวทางการสร้างสุขภาวะที่ดีอย่างยั่งยืนที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้
Wellness คืออะไร
Wellness หรือ ความเป็นอยู่ที่ดี หมายถึงการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สังคม และปัญญา โดยเน้นการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคก่อนเกิดมากกว่าการรักษาภายหลัง แนวทางนี้ครอบคลุมถึงการปรับพฤติกรรม การเลือกวิถีชีวิตที่เหมาะสม และการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ในการสนับสนุนสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
ในยุคของ Personalized Medicine ข้อมูลพันธุกรรมเริ่มมีบทบาทสำคัญในการออกแบบแนวทางการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการพยากรณ์ความเสี่ยงของโรค (Predictive Risk) หรือการเฝ้าระวังเชิงป้องกัน (Preventive Strategy) อาทิ การตรวจยีน BRCA สำหรับมะเร็งเต้านมและรังไข่ หรือ APOE4 สำหรับอัลไซเมอร์ ซึ่งช่วยให้ผู้รับบริการสามารถวางแผนสุขภาพระยะยาวได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น
Wellness ยุคใหม่จึงไม่ใช่เพียงการไม่มีโรค แต่คือการมีชีวิตที่สมดุล มีสุขภาวะที่ดีในทุกมิติ และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างยืนยาว มีความสุข และมีเป้าหมายที่ชัดเจน
Wellness สำคัญอย่างไร
จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า 77% ของการเสียชีวิตในประเทศไทยมีสาเหตุมาจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น การรับประทานอาหารที่ไม่มีคุณภาพ การขาดการออกกำลังกาย ความเครียดเรื้อรัง การนอนหลับไม่เพียงพอ รวมถึงพฤติกรรมเสี่ยงอย่างการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ (อ้างอิง: (แพทย์หญิงสร้อยเพชร ประเทืองเศรษฐ์))
แนวทางการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม หรือ Wellness จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ในการเสริมสร้างความตระหนักรู้ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ และส่งเสริมการป้องกันโรคก่อนเกิด โดยเน้นการเข้าถึงองค์ความรู้ เครื่องมือ และเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่างเท่าเทียม
การส่งเสริม Wellness อย่างทั่วถึงไม่เพียงช่วยลดภาระจากโรคเรื้อรัง แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินชีวิต ลดความสูญเสียจากการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล และส่งเสริมความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสังคมในภาพรวม
สุขภาวะมีอะไรบ้าง
ตามแนวคิดของ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ได้จำแนกและอธิบายสุขภาวะที่สมบูรณ์เอาไว้ 4 ด้านด้วยกัน ได้แก่
1. สุขภาวะทางกาย (Physical Wellbeing)
สุขภาวะทางกาย หมายถึง การมีสุขภาพ ร่างกาย อวัยวะต่างๆ ที่แข็งแรง สมบูรณ์ เช่น ระบบการหายใจและการสูบฉีดโลหิต กำลังและความทนทานของระบบกล้ามเนื้อ ความยืดหยุ่นและสมส่วนของร่างกาย รวมถึงการมีภาวะทางโภชนาการและน้ำหนักตัวที่เหมาะสม ไม่มีโรคภัยหรือความพิการต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม คนที่ป่วยเป็นโรค หรือคนที่มีโรคประจำตัวอยู่ก็สามารถมีสุขภาวะได้ตามสภาพของตนเอง หากสามารถดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสม การตรวจคัดกรองโรคต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นส่วนสำคัญของการดูแลสุขภาวะทางกาย โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น การตรวจคัดกรองมะเร็งหรือมะเร็งพันธุกรรม (Hereditary cancer) ในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง หรือ การตรวจอัลไซเมอร์ ที่สามารถตรวจได้ตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไปสำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง
2. สุขภาวะทางอารมณ์ (Emotional Wellbeing)
สุขภาวะทางอารมณ์ หมายถึง ความสามารถในการจัดการกับอารมณ์ในเชิงบวก และสามารถแสดงออกทางอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม ทั้งการตระหนักรู้และยอมรับอารมณ์ของบุคคลอื่น ไม่ยอมพ่ายแพ้ ท้อถอยต่อความบกพร่อง หรือความล้มเหลวที่เกิดขึ้นตรงหน้า เพราะถ้าสภาพจิตใจไม่ดีจะส่งผลต่อสุขภาพ หากเรารู้จักการจัดการความรู้สึก การฝึกสติ การทำสมาธิ การพักผ่อนอย่างเพียงพอ การทำกิจกรรมที่สร้างความสุข และการหาเวลาผ่อนคลายความเครียด ก็จะทำให้เรามีสุขภาวะทางอารมณ์ที่ดี และจะช่วยให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น
3. สุขภาวะทางสังคม (Social Wellbeing)
สุขภาวะทางสังคม หมายถึง การมีปฏิสัมพันธ์อย่างเหมาะสมกับบุคคลอื่น ๆ และสิ่งแวดล้อมรอบตัว การสานสัมพันธ์กับคนในสังคม ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ก็จะทำให้แต่ละคนสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุข เข้าถึงบริการสาธารณะและสวัสดิการสังคมที่ดี ในชุมชนที่เข้มแข็ง และสังคมที่มีความยุติธรรม เสมอภาค และสันติภาพ
4. สุขภาวะทางสติปัญญา (Intellectual Wellbeing)
สุขภาวะทางสติปัญญา หมายถึง สุขภาวะที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพสมอง การมีความรู้เท่าทัน มีวิจารณญาณในการดำเนินชีวิต สามารถคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล การรู้จักแยกแยะในสิ่งที่ถูกผิดและให้คุณค่ากับการเรียนรู้ตลอดชีวิต ความสามารถด้านสติปัญญาที่ดีจะช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตโดยรวม ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว และอาชีพการงานอย่างมีประสิทธิภาพ
การสร้างเสริมสุขภาพที่ดี เริ่มจากอะไรได้บ้าง
ในยุคที่คนหันมาให้ความสนใจ รักสุขภาพกันมากขึ้น หลายคนอาจสงสัยว่า สุขภาพดีมีอะไรบ้าง และทำอย่างไรจึงจะมีสุขภาวะที่สมบูรณ์ การดูแลตนเองแบบ Wellness สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิตตามหลักการป้องกันแบบปฐมภูมิ (Primary Prevention) หรือการป้องกันโรคที่ยังไม่เกิดขึ้น โดยสามารถทำได้ดังนี้
1. การตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน
การตรวจสุขภาพประจำปีถือเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันโรคร้าย โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในประเทศไทยในปัจจุบัน
การเข้ารับบริการตรวจสุขภาพเชิงลึก เช่น การตรวจคัดกรองมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ที่เป็นการตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง รวมถึง การตรวจความเสี่ยงอัลไซเมอร์ในกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไป ล้วนสามารถให้ข้อมูลล่วงหน้าก่อนที่จะปรากฏอาการทางคลินิก
การรับรู้และเข้าใจสุขภาพของตนเองตั้งแต่ระยะก่อนเกิดโรค จะช่วยให้สามารถ วางแผนการตรวจติดตาม และดูแลสุขภาพได้อย่างมีเป้าหมาย ซึ่งเป็นหัวใจของแนวทาง Wellness ที่เน้นการป้องกันเชิงรุก เพื่อการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนและมีคุณภาพในระยะยาว
2. การรับประทานอาหารที่เหมาะสม
การเลือกรับประทานอาหารให้สอดคล้องกับแนวทาง Wellness คือการใส่ใจในคุณภาพ ความสะอาด และคุณค่าทางโภชนาการของแต่ละมื้อ โดยเน้นอาหารที่ปรุงสุก สะอาด และปลอดจากสารปนเปื้อน พร้อมรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยเฉพาะผักใบเขียว ข้าวกล้อง ผลไม้ตามฤดูกาล และโปรตีนไขมันต่ำ เช่น เนื้อไม่ติดมันหรือปลา การรับประทานอาหารเช้าอย่างสม่ำเสมอ การหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ไขมันสูง และการดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอในแต่ละวัน ล้วนมีบทบาทในการซ่อมแซมร่างกาย บำรุงสมอง และรักษาสมดุลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจในระยะยาว
3. การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การเคลื่อนไหวร่างกายเป็นประจำถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของสุขภาวะที่ดี โดยแนะนำให้ออกกำลังกายอย่างน้อย 35 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละไม่ต่ำกว่า 30 นาที ทั้งนี้ควรเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัยและสภาพร่างกาย เช่น เดินเร็ว วิ่ง ปั่นจักรยาน หรือโยคะ การออกกำลังกายไม่เพียงช่วยควบคุมน้ำหนัก แต่ยังเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง และส่งผลดีต่อสภาวะทางอารมณ์ ช่วยคลายความเครียดและเพิ่มความสดชื่นให้จิตใจในแต่ละวัน
4. การจัดการกับอารมณ์และความเครียด
สุขภาพจิตเป็นส่วนสำคัญของ Wellness การรู้เท่าทันและจัดการกับความเครียดอย่างเหมาะสมสามารถทำได้ผ่านกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึก ฝึกสมาธิ โยคะ หรือการใช้เวลาว่างกับกิจกรรมสร้างสรรค์ เช่น งานอดิเรก ดนตรี ศิลปะ หรือการพูดคุยกับบุคคลที่ไว้วางใจ โดยเฉพาะการนอนหลับอย่างเพียงพอ 79 ชั่วโมงต่อคืน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยฟื้นฟูสมองและจิตใจให้พร้อมรับมือกับความท้าทายของวันใหม่
5. การพัฒนาทักษะชีวิต
การมีสุขภาวะที่ดีไม่ได้จำกัดเฉพาะด้านร่างกายและจิตใจ แต่รวมถึงความสามารถในการเผชิญชีวิตประจำวันอย่างมีประสิทธิภาพ ทักษะที่ควรพัฒนา ได้แก่ การตัดสินใจ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การสื่อสาร และการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ทักษะเหล่านี้ช่วยเสริมความมั่นใจในการดำเนินชีวิต และลดความตึงเครียดที่เกิดจากสถานการณ์ไม่คาดคิด
6. การสร้างสัมพันธภาพทางสังคม
การมีเครือข่ายทางสังคมที่ดีช่วยให้จิตใจอบอุ่นและมั่นคง การสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดในครอบครัว การมีส่วนร่วมในกิจกรรมชุมชน และการแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่น ล้วนมีบทบาทสำคัญในการลดความเครียดและส่งเสริมสุขภาพจิต สังคมที่เข้มแข็งและมีความเข้าใจซึ่งกันและกันยังเป็นพื้นฐานสำคัญของการมีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและยั่งยืน
7. การเรียนรู้และพัฒนาปัญญา
การฝึกพัฒนาความคิดและสติปัญญาอย่างต่อเนื่อง เป็นองค์ประกอบสำคัญของการมีชีวิตที่สมดุล กิจกรรมอย่างการอ่านหนังสือ การฝึกทักษะใหม่ การเขียนบันทึก การแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้อื่น และการเล่นเกมที่ฝึกสมอง ล้วนช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง แต่ยังเพิ่มคุณภาพชีวิตในระยะยาว
ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสุขภาพแบบ Wellness หรือสุขภาวะองค์รวมล้วนไม่ใช่เพียงการไม่เจ็บป่วยเท่านั้น แต่เป็นการมีสุขภาพที่สมบูรณ์พร้อมทั้งกาย ใจ สังคม และปัญญา การสร้างสุขภาวะที่ดีต้องอาศัยการดูแลตนเองอย่างสมดุลในทุกมิติ เริ่มได้จากการลงมือทำเล็กน้อยอย่างสม่ำเสมอ และค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตไปสู่ความสมดุลอย่างแท้จริง
บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทฯ ในเครือ BGI Genomics ที่ก่อตั้งในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ที่ได้รับมาตรฐาน ISO15189, ISO15190 และ ISO/IEC 27001:2022 จากสถาบันมาตรฐานอังกฤษ (BSI) ให้บริการตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรมที่ครอบคลุมในหลายด้าน ได้แก่
- การตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมของทารกในครรภ์มารดา
- การตรวจคัดกรองพาหะโรคทางพันธุกรรมสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตร หรือมีบุตรยาก
- การตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนก่อมะเร็ง เพื่อหาตัวยาในการรักษาแบบเฉพาะบุคคล
- การตรวจคัดกรองความเสี่ยงยีนก่อโรคการเกิดมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
- การตรวจวิเคราะห์กลุ่มโรคติดเชื้อ รวมถึงมะเร็งปากมดลูกและ COVID-19
- การตรวจวิเคราะห์พันธุกรรมเฉพาะบุคคลเพื่อวางแผนสุขภาพและชะลอวัย
ติดต่อเรา
โทร: 094 616 6878
อีเมล: marketing@bangkokgenomics.com
เว็บไซต์: https://www.bangkokgenomics.com
ที่อยู่: 3689 ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กทม. 10110
เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 8.30-17.30 น., เสาร์ 9.00-15.00 น.