โรคอัลไซเมอร์คืออะไร เกี่ยวข้องอย่างไรกับภาวะสมองเสื่อม
โรคอัลไซเมอร์: ไม่ใช่แค่เรื่องของวัย แต่คือความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม
หลายคนอาจเข้าใจว่าโรคอัลไซเมอร์คืออาการหลงลืมตามวัยของผู้สูงอายุ แต่ในความเป็นจริง โรคนี้และภาวะสมองเสื่อมสามารถเกิดขึ้นได้กับคนในวัยทำงานหรือผู้ที่ดูเหมือนสุขภาพแข็งแรง หากไม่มีการดูแลสุขภาพสมองหรือรับการตรวจคัดกรองความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ ความเสี่ยงในการพัฒนาโรคในระยะยาวอาจเพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
บทความนี้จะพาทุกคนมาเรียนรู้เกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นความหมายของโรคนี้จริง ๆ คืออะไร สัญญาณเตือนและอาการที่ควรสังเกต อัลไซเมอร์สามารถรักษาให้หายได้หรือไม่ ไปจนถึงแนวทางในการดูแลผู้ป่วย วิธีลดความเสี่ยง และการตรวจคัดกรองตรวจความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์เพื่อประเมินโอกาสในการเกิดโรคในอนาคตอย่างทันท่วงที
ทำความเข้าใจโรคอัลไซเมอร์ให้มากขึ้น
โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimers disease) เป็นโรคทางระบบประสาทชนิดเรื้อรังที่ก่อให้เกิดความเสื่อมของเซลล์สมองอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยโรคนี้ได้รับการตั้งชื่อตามแพทย์ชาวเยอรมันคุณหมออาลอยซ์ อัลไซเมอร์ (Alois Alzheimer) ผู้ค้นพบโรคนี้เป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1906
โรคอัลไซเมอร์ส่งผลกระทบต่อความทรงจำ ความคิด พฤติกรรม และความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวัน โรคอัลไซเมอร์นับเป็นสาเหตุหลักของภาวะสมองเสื่อม (Dementia) โดยมีสัดส่วนมากถึงมากที่สุดถึง 60-80% ในบรรดาผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม และโรคอัลไซเมอร์นี้ไม่ใช่การเสื่อมตามอายุที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เนื่องจากผู้สูงอายุไม่จำเป็นต้องเป็นอัลไซเมอร์ทุกคน แม้แต่คนในวัยทำงานบางท่านก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน
โรคอัลไซเมอร์เกิดจากอะไร
สาเหตุหลักของโรคอัลไซเมอร์เกิดจากการสะสมของโปรตีนผิดปกติในสมอง ได้แก่
- เบต้า-อะไมลอยด์ (Beta-amyloid): เป็นโปรตีนชนิดไม่ละลายน้ำที่สะสมตัวระหว่างเซลล์ประสาทในสมอง ขัดขวางการสื่อสารระหว่างเซลล์ ส่งผลให้เซลล์ประสาทเกิดการเสื่อม
- โปรตีนทาว (Tau Protein): เมื่อเกิดความผิดปกติ โปรตีนทาวจะเกิดการพันกันเป็นเส้นใยประสาท (Neurofibrillary tangles) ภายในเซลล์ประสาท ทำให้ระบบขนส่งสารอาหารและของเสียภายในเซลล์ล้มเหลวและเสื่อมลง
หนึ่งในสาเหตุสำคัญของโรคอัลไซเมอร์คือการสะสมของโปรตีนผิดปกติในสมอง เช่น เบต้าอะมีลอยด์ (Beta-amyloid) และเทาโปรตีน (Tau protein) ซึ่งเข้าไปรบกวนการทำงานของเซลล์ประสาทโดยตรง กระบวนการนี้เริ่มต้นที่บริเวณฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมความจำและการเรียนรู้
เมื่อเซลล์ประสาทถูกทำลาย สารสื่อประสาทอย่างอะซีติลโคลีน (Acetylcholine) ที่มีบทบาทในการส่งข้อมูลระหว่างเซลล์ก็ลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้ผู้ป่วยเริ่มมีอาการหลงลืม และหากไม่ได้รับการดูแลหรือวินิจฉัยอย่างเหมาะสม โรคก็จะลุกลามจนกลายเป็นภาวะสมองเสื่อมอย่างเต็มรูปแบบ
ภาวะสมองเสื่อมคืออะไร
ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) เป็นคำที่ใช้อธิบายกลุ่มอาการผิดปกติที่เกิดจากการทำงานบกพร่องของสมองหลายส่วนร่วมกัน ซึ่งส่งผลให้ความสามารถทางด้านความคิด ความจำ การใช้เหตุผล และการดำเนินชีวิตประจำวันลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
โดยทั่วไป ภาวะสมองเสื่อมสามารถจำแนกออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
- ภาวะสมองเสื่อมที่รักษาให้หายขาดได้: เกิดจากปัจจัยภายนอกหรือโรคบางชนิดที่สามารถรักษาให้ดีขึ้นหรือกลับสู่ภาวะปกติได้ มักพบในผู้ป่วยร้อยละ 20 ของผู้มีภาวะสมองเสื่อมทั้งหมด เกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น การขาดสารอาหาร โรคไทรอยด์ เนื้องอกในสมอง ภาวะติดเชื้อในสมอง หรือผลข้างเคียงจากยาบางชนิด
- ภาวะสมองเสื่อมที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้: มักพบในผู้ป่วยร้อยละ 80 ของผู้มีภาวะสมองเสื่อมทั้งหมด ซึ่งโรคอัลไซเมอร์เป็นสาเหตุหลักถึงร้อยละ 50 ในกลุ่มนี้ นอกนั้นเกิดจากโรคอื่น ๆ เช่น โรคพาร์กินสัน (Parkinson's disease) โรคหลอดเลือดสมอง (Vascular Dementia) และโรคเลวีบอดี (Lewy Body Dementia)
ปัจจัยเสี่ยงของโรคอัลไซเมอร์
ในปัจจุบัน พบว่ามีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้องและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ เช่น
- อายุ: ผู้ที่มีอายุประมาณ 65 ปี จะมีความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ประมาณร้อยละ 5 ผู้ที่มีอายุประมาณ 75 ปี มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 15 และผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 85 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงสูงถึงร้อยละ 40 นอกจากนี้ คนเอเชียโดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีแนวโน้มถูกวินิจฉัยช้ากว่าความเป็นจริง 35 ปี เพราะครอบครัวมักมองว่าเป็น "อาการตามวัย"
- พันธุกรรม: หนึ่งในปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมของโรคอัลไซเมอร์คือ ยีน APOE4 ซึ่งเป็นยีนที่เพิ่มโอกาสในการเกิดโรค หากบุคคลได้รับยีนนี้จากทั้งพ่อและแม่ ความเสี่ยงก็จะสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับคนทั่วไป
- นอกจากนี้ ยังมียีนอีกกลุ่มหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่เริ่มมีอาการอัลไซเมอร์ตั้งแต่อายุน้อย หรือที่เรียกว่า Early-onset Alzheimer's Disease ได้แก่ ยีน APP, PSEN1 และ PSEN2 โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้คิดเป็นประมาณร้อยละ 5 ของผู้ป่วยอัลไซเมอร์ทั้งหมด
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต: การขาดการออกกำลังกาย การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม รวมถึงภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน พฤติกรรมเหล่านี้จัดเป็น Modifiable Risk Factors ที่ควบคุมได้และมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ การควบคุมปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้อาจช่วยลดโอกาสเกิดภาวะสมองเสื่อมได้ถึง 40%
- โรคประจำตัว: ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรือโรคหลอดเลือดสมอง มีความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อโรคเหล่านี้ไม่ได้รับการควบคุม ความผิดปกติของระบบหลอดเลือดอาจรบกวนการทำงานของสมอง และเร่งการเสื่อมของเซลล์ประสาทโดยตรง โดยเฉพาะเบาหวานชนิดที่ 2 และความดันสูงในวัยกลางคนถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ (risk factor) ที่เชื่อมโยงกับการเกิดโรคอัลไซเมอร์ในระยะยาว
- การนอนหลับที่ผิดปกติ: การนอนหลับไม่เพียงพอส่งผลต่อกระบวนการกำจัดของเสียในสมอง ขณะที่ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (Sleep Apnea) อาจทำให้สมองขาดออกซิเจนเป็นช่วง ๆ ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพสมองในระยะยาว และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์
- การบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง: การกระทบกระเทือนที่สมองอย่างรุนแรงหรือการบาดเจ็บซ้ำ ๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงอื่นร่วมด้วย
- ความเครียด: ความเครียดเรื้อรัง (Chronic Stress) มีผลกระทบโดยตรงต่อสมอง โดยเฉพาะสมองส่วนฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจัดเก็บความจำระยะยาว ความเครียดที่สะสมต่อเนื่องอาจเร่งการเสื่อมของเซลล์ประสาท และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์ในระยะยาว
- ส่วนภาวะซึมเศร้าในวัยกลางคนและสูงวัย แม้ยังไม่ถือเป็นสาเหตุโดยตรงของโรคอัลไซเมอร์ แต่สามารถเป็นสัญญาณเริ่มต้น (early symptom) หรือปัจจัยร่วมที่ส่งผลต่อการทำงานของสมอง โดยเฉพาะในบริเวณที่ควบคุมความจำ พฤติกรรม และอารมณ์
- การขาดการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น: การแยกตัวจากสังคมและขาดการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นประจำเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อม เนื่องจากสมองขาดการกระตุ้นผ่านกิจกรรมทางสังคม
โรคอัลไซเมอร์มีกี่ระยะ อาการเป็นอย่างไร
โรคอัลไซเมอร์อาการเริ่มต้นที่สำคัญคือการสูญเสียความจำระยะสั้น แต่อาการของโรคนี้ไม่ได้มีเพียงแค่การหลงลืมเท่านั้น เนื่องจากผู้ป่วยร้อยละ 80-90 จะมีอาการทางพฤติกรรมหรือทางจิตเวชร่วมด้วย โดยโรคอัลไซเมอร์สามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะหลัก ได้แก่
- อัลไซเมอร์ระยะแรก (Mild Alzheimers / Early Stage) มีอาการดังนี้
- เริ่มมีอาการ หลงลืมความจำระยะสั้น โดยเฉพาะข้อมูลใหม่ ๆ
- พูดซ้ำ ถามซ้ำ หรือเล่าเรื่องเดิมซ้ำ ๆ
- สับสนเรื่องเวลา สถานที่ หรือบุคคล หาของไม่เจอ หรือวางของผิดที่
- มีอารมณ์แปรปรวน เครียด หรือซึมเศร้า
- สามารถดูแลตัวเองได้ และใช้ชีวิตประจำวันได้ใกล้เคียงปกติ
- อัลไซเมอร์ระยะกลาง (Moderate Alzheimers / Middle Stage) มีอาการดังนี้
- ความจำแย่ลงชัดเจน จำชื่อคนในครอบครัวไม่ได้
- สับสน แม้ในที่คุ้นเคย เช่น บ้าน
- พฤติกรรมเปลี่ยน เช่น หงุดหงิดมากขึ้น หรือมีอารมณ์ก้าวร้าว
- มีปัญหาในการทำกิจกรรมซับซ้อน เช่น ทำอาหาร ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์
- อาจมี อาการทางจิตเวชร่วมด้วย เช่น หวาดระแวง หลงผิด เห็นภาพหลอน
- ผู้ดูแลเริ่มต้องมีบทบาทสำคัญในการดูแลชีวิตประจำวันของผู้ป่วย
- อัลไซเมอร์ระยะสุดท้าย (Severe Alzheimers / Late Stage) มีอาการดังนี้
- สูญเสียความสามารถในการช่วยเหลือตัวเอง เช่น การรับประทานอาหาร อาบน้ำ
- อาจมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงอย่างมาก
- เคลื่อนไหวลำบาก หรือนอนติดเตียง
- ไม่สามารถสื่อสารหรือเข้าใจคำพูดได้
- ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ มีโอกาสติดเชื้อแทรกซ้อนสูง เช่น ปอดบวม
อัลไซเมอร์หายมั้ย สามารถรักษาได้ไหม
แม้อัลไซเมอร์จะยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในปัจจุบัน แต่มีแนวทางการรักษาที่ช่วยบรรเทาอาการ ชะลอการเสื่อมของสมอง และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น การตรวจวินิจฉัยและเริ่มรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจึงเป็นกุญแจสำคัญในการชะลอความรุนแรงของโรค
วิธีป้องกันโรคอัลไซเมอร์
การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตบางอย่างสามารถช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ และยังช่วยส่งเสริมสุขภาพองค์รวม หรือ Wellness ให้กับเราได้
- ดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด: ควบคุมความดันโลหิต ระดับคอเลสเตอรอล และน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์: ลดการนำเข้าสารพิษอันตรายในร่างกาย
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: ออกกำลังกาย 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30 นาที เลือกกิจกรรมที่ชอบและเหมาะสมกับตนเอง
- รับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ: ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รับประทานผักใบเขียว ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี ปลา และสารอาหารที่ช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง
- กระตุ้นสมองอย่างสม่ำเสมอ: ด้วยการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เช่น เล่นเกมฝึกสมอง อ่านหนังสือ ทำงานอดิเรกที่ท้าทายความคิด
- มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม: พูดคุยกับเพื่อนและครอบครัว หรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม
- พักผ่อนให้เพียงพอ: รักษาคุณภาพการนอนที่ดี นอนหลับให้เพียงพอ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน รวมถึงหาการรักษาและจัดการสำหรับผู้ที่มีปัญหาการนอนหลับ
- ตรวจสุขภาพประจำปี: เพื่อควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ และเข้ารักษาโรคอัลไซเมอร์ได้ทันท่วงที ทั้งจากการตรวจร่างกาย และการตรวจคัดกรองความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์
แนวทางการตรวจคัดกรองความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์: รู้เร็ว ป้องกันได้
การตรวจคัดกรองโรคอัลไซเมอร์ตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม เป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันและวางแผนดูแลสุขภาพในระยะยาว โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคสมองเสื่อม การประเมินความเสี่ยงสามารถทำได้หลากหลายวิธี ดังนี้:
-
การซักประวัติและตรวจร่างกาย
แพทย์จะทำการซักประวัติอย่างละเอียดทั้งจากผู้ป่วยและญาติใกล้ชิด เพื่อประเมินอาการด้านความจำ พฤติกรรม และการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงตรวจร่างกาย โดยเฉพาะระบบประสาท เพื่อคัดกรองความผิดปกติที่อาจสัมพันธ์กับภาวะสมองเสื่อม -
การประเมินความจำและการทำงานของสมอง
ใช้แบบทดสอบมาตรฐานหลายชนิดเพื่อประเมินความจำและการทำงานของสมอง เช่น
Mini-Mental State Examination (MMSE) หรือ Thai Mental State Examination (TMSE): ทดสอบการรับรู้ ความจำ ภาษา การคำนวณ
Montreal Cognitive Assessment (MoCA): เป็นการทดสอบที่คล้ายคลึงกับ MMSE แต่จะละเอียดกว่า เหมาะสำหรับตรวจหาความบกพร่องทางสติปัญญาในระยะเริ่มต้น
Clock Drawing Test: เป็นการทดสอบที่ให้ผู้ป่วยวาดนาฬิกาและกำหนดเวลา เพื่อประเมินการรับรู้เชิงมิติสัมพันธ์และการวางแผน -
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
การตรวจเลือดและปัสสาวะเพื่อหาสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการคล้ายอัลไซเมอร์ เช่น ภาวะไทรอยด์ต่ำ ระดับวิตามินบี 12 การติดเชื้อ และสารเคมีอื่น ๆ ในเลือด -
การตรวจภาพถ่ายสมอง
การตรวจภาพถ่ายสมองเพื่อช่วยในการวินิจฉัยและแยกโรคสมองเสื่อมอื่น ๆ ที่มีอาการคล้ายคลึงกัน เช่น
MRI scan: ตรวจหาการฝ่อและความผิดปกติทางโครงสร้างของสมอง
CT scan: ตรวจหาความผิดปกติทางโครงสร้างของสมอง
PET scan: แสดงการทำงานของสมองและการสะสมของโปรตีนก่อโรคอัลไซเมอร์ เช่น โปรตีนอะไมลอยด์ -
การตรวจยีนอัลไซเมอร์และโปรตีนก่อโรค
การตรวจยีนอัลไซเมอร์และการตรวจหาระดับโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ในเลือดหรือน้ำไขสันหลัง เป็นวิธีการที่มีความแม่นยำสูงและสามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น-
การตรวจโปรตีนจากน้ำไขสันหลัง (Cerebrospinal Fluid, CSF): วัดระดับโปรตีนเบต้า-อะไมลอยด์และโปรตีนทาว ซึ่งเป็นการตรวจที่แม่นยำแต่มีความเสี่ยงและไม่สะดวกสำหรับผู้ป่วยในการเก็บตัวอย่างน้ำไขสันหลัง
-
การตรวจโปรตีนจากเลือด: เป็นวิธีการที่สะดวก ปลอดภัย และมีความแม่นยำสูง โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง Single Molecular Immune Detection (SMID) สามารถตรวจวัดโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ได้ในปริมาณน้อย ๆ ดังนี
- Amyloid beta 42 และ Amyloid beta 40: โปรตีนสำคัญที่สะสมเป็นแผ่น (Amyloid plaque) ในสมองของผู้ป่วยอัลไซเมอร์
- P-tau181 และ P-tau217: โปรตีนสำคัญที่ใช้บ่งชี้การแยกโรคอัลไซเมอร์ออกจากโรคสมองเสื่อมชนิดอื่นและการลุกลามของโรคอัลไซเมอร์
- Neurofilament Light (NfL): โปรตีนที่บ่งชี้ความเสียหายและการบาดเจ็บของเซลล์ประสาท
- alpha-Synuclein: โปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโรคพาร์กินสันและโรคสมองเสื่อมบางชนิด
-
ปัจจุบัน การตรวจความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์จากเลือดถือเป็นทางเลือกที่สะดวก มีประสิทธิภาพสูง และราคาเข้าถึงได้มากกว่าการตรวจบางประเภทที่มีค่าใช้จ่ายที่สูงและวุ่นวายกว่า ทำให้สามารถตรวจคัดกรองได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ก่อนที่จะมีอาการปรากฏชัดเจน
ตรวจคัดกรองก่อนอาการแสดง: กุญแจสำคัญในการชะลอโรค
การตรวจความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยให้สามารถวางแผนดูแลสุขภาพสมองอย่างเหมาะสม ปรับพฤติกรรม และรับการดูแลเชิงป้องกันได้ทันเวลา ลดโอกาสที่โรคจะลุกลามจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันในอนาคต
หากคุณกำลังสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยง หรือกำลังตัดสินใจว่าจะตรวจอัลไซเมอร์ที่ไหนดี บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BKGI มีบริการตรวจคัดกรองโรคอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมอื่น ๆ ผ่านการตรวจเลือด ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยที่มีความแม่นยำสูง สามารถตรวจวัดระดับโปรตีนก่อโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยใช้เวลาเพียง 5-7 วันทำการในการรายงานผล
โดยเฉพาะถ้าคุณมีอายุมากกว่า 50 ปี มีประวัติครอบครัวเป็นโรคอัลไซเมอร์ มีปัญหาด้านการนอนหลับ มีภาวะความเครียดสะสม หรือต้องการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน อย่ารอให้โรคลุกลาม ตรวจคัดกรองความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์กับ BKGI วันนี้ เพื่อวางแผนการดูแลสุขภาพสมองอย่างเหมาะสมและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว
บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทฯ ในเครือ BGI Genomics ที่ก่อตั้งในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ที่ได้รับมาตรฐาน ISO15189, ISO15190 และ ISO/IEC 27001:2022 จากสถาบันมาตรฐานอังกฤษ (BSI) ให้บริการตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรมที่ครอบคลุมในหลายด้าน ได้แก่
- การตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมของทารกในครรภ์มารดา
- การตรวจคัดกรองพาหะโรคทางพันธุกรรมสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตร หรือมีบุตรยาก
- การตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนก่อมะเร็ง เพื่อหาตัวยาในการรักษาแบบเฉพาะบุคคล
- การตรวจคัดกรองความเสี่ยงยีนก่อโรคการเกิดมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
- การตรวจวิเคราะห์กลุ่มโรคติดเชื้อ รวมถึงมะเร็งปากมดลูกและ COVID-19
- การตรวจวิเคราะห์พันธุกรรมเฉพาะบุคคลเพื่อวางแผนสุขภาพและชะลอวัย
ติดต่อเรา
โทร: 094 616 6878
อีเมล: marketing@bangkokgenomics.com
เว็บไซต์: https://www.bangkokgenomics.com
ที่อยู่: 3689 ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กทม. 10110
เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 8.30-17.30 น., เสาร์ 9.00-15.00 น.