แชร์

เบต้า-อะไมลอยด์คืออะไร สาเหตุสำคัญของโรคอัลไซเมอร์และสมองเสื่อมที่ไม่ควรมองข้าม

739 ผู้เข้าชม

โปรตีนเบต้า-อะไมลอยด์ ถือเป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อม ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่กำลังเพิ่มขึ้นในสังคมผู้สูงอายุ การเข้าใจความเป็นมาและกลไกการทำงานของโปรตีนชนิดนี้ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการป้องกันและการดูแลสุขภาพสมองในระยะยาว

บทความนี้จะพาทุกคนทำความรู้จักเบต้า-อะไมลอยด์ให้มากขึ้น ว่าโปรตีนชนิดนี้คืออะไร ทำหน้าที่อะไรบ้าง ทำไมถึงเกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ และวิธีการรักษา ดูแล ป้องกันตนเอง ไม่ให้เบต้า-อะไมลอยด์ทำร้ายร่างกายของเรา

โปรตีนอะไมลอยด์คืออะไร?

โปรตีนอะไมลอยด์ เป็นชื่อเรียกของกลุ่มโปรตีนชนิดต่าง ๆ ที่มีลักษณะผิดรูปจากโปรตีนทั่วไป โดยปกติแล้วโปรตีนอะไมลอยด์จะถูกย่อยสลายและกำจัดออกจากร่างกาย แต่เมื่อเกิดความผิดปกติในการกำจัด จะเกิดการจับตัวกันเป็นแผ่นใยไม่ละลายน้ำ และสะสมในเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของอวัยวะในร่างกาย จนทำให้อวัยวะนั้น ๆ ทำงานบกพร่องและเสียหายได้ โปรตีนอะไมลอยด์นี้สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท และแต่ละชนิดจะมีผลกระทบต่ออวัยวะที่แตกต่างกัน เช่น โปรตีนเบต้า-อะไมลอยด์ ที่ส่งผลกระทบต่อสมอง เป็นต้น

โปรตีนเบต้า-อะไมลอยด์คืออะไร?

เบต้า-อะไมลอยด์ หรือ Beta-amyloid, Amyloid-beta เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการย่อยสลายของโปรตีนที่เรียกว่า Amyloid Precursor Protein (APP) ในสภาวะปกติ โปรตีนนี้จะถูกกำจัดออกจากร่างกาย แต่เมื่อเกิดความผิดปกติขึ้น เบต้า-อะไมลอยด์จะเกิดการสะสมและก่อให้เกิดปัญหาต่อการทำงานของสมองแทน

เบต้า-อะไมลอยด์เกิดจากสาเหตุใด

การเกิดและการสะสมของเบต้า-อะไมลอยด์ในสมองมีสาเหตุหลายประการ ได้แก่

  • ความเสื่อมตามวัย: ถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ระบบการกำจัดโปรตีนในสมองทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้เบต้า-อะไมลอยด์สะสมมากขึ้นเมื่ออายุเพิ่ม
  • ปัญหาคุณภาพการนอนหลับ: ผู้ที่มีช่วงการนอนหลับลึกที่สั้นหรือนอนไม่หลับ จะมีโอกาสสูงที่จะเกิดการสะสมของเบต้า-อะไมลอยด์ เนื่องจากสมองทำการกำจัดของเสียและโปรตีนที่ ไม่ต้องการได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ จนทำให้เกิดการสะสม
  • ปัจจัยทางพันธุกรรม: ยีนบางชนิดอาจทำให้เกิดการผลิตเบต้า-อะไมลอยด์มากเกินไป หรือการกำจัดออกจากสมองช้าลง เช่น ยีน APOE E4 เป็นต้น
  • โรคเรื้อรังและการอักเสบ: โรคต่าง ๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และภาวะการอักเสบเรื้อรัง อาจเป็นปัจจัยเสริมให้เกิดการสะสมของโปรตีนนี้

เบต้าอะไมลอยด์ อัลไซเมอร์เชื่อมโยงกันอย่างไร

เบต้า-อะไมลอยด์มีบทบาทสำคัญในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ เมื่อโปรตีนนี้เริ่มเกิดการสะสมในสมอง จะทำให้เกิดอาการดังต่อไปนี้

  • การก่อตัวของแผ่นโปรตีน: เบต้า-อะไมลอยด์จะจับตัวกันเป็นแผ่นโปรตีนที่รบกวนการทำงานระหว่างเซลล์สมอง โดยเฉพาะในบริเวณฮิปโปแคมปัส ซึ่งเป็นศูนย์กลางของความจำ จนเกิดการเสื่อมของเซลล์ประสาท
  • การทำลายเซลล์สมอง: โปรตีนที่สะสมยังรบกวนการทำงานของเซลล์สมอง ทำให้เซลล์เสื่อมและตายในที่สุด
  • การลดลงของสารสื่อประสาท: เบต้า-อะไมลอยด์และการเสื่อมสภาพของเซลล์สมองยังส่งผลให้ปริมาณสารอะซีติลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่สำคัญต่อความจำจำนวนลดลง ส่งผลให้ผู้ป่วยเริ่มมีอาการหลงลืม
  • การแพร่กระจายของความเสียหาย: อาการของผู้ป่วยอาจเริ่มจากการสูญเสียความจำระยะสั้น ก่อนที่ความเสียหายจะค่อย ๆ กระจายไปสู่สมองส่วนอื่น ๆ ส่งผลต่อการเรียนรู้ ความคิด พฤติกรรม ก่อนจะพัฒนากลายเป็นโรคอัลไซเมอร์ในที่สุด

โรคอะไมลอยด์โดสิสคืออะไร

นอกจากการสะสมในสมองแล้ว โปรตีนอะไมลอยด์ยังสามารถสะสมในอวัยวะอื่น ๆ จนทำให้ระบบการทำงานของอวัยวะนั้น ๆ ผิดปกติ ก่อให้เกิดโรคที่เรียกว่า โรคอะไมลอยด์โดสิส (Amyloidosis) ซึ่งเป็นโรคหายากที่พบได้ประมาณ 1 ในแสนคน สามารถแบ่งประเภทได้ 4 ประเภทตามสาเหตุการเกิดโรค ได้แก่

  • AL Amyloidosis:  เกิดจากความผิดปกติของเม็ดเลือดขาวชนิด Plasma Cell ในไขกระดูกที่มีการผลิตโปรตีน Immunoglobulin Light Chain มากกว่าปกติ ส่งผลกระทบต่ออวัยวะหลายระบบ เช่น ตับ ไต หัวใจ และระบบทางเดินอาหาร ถือเป็นประเภทของโรคอะไมลอยด์ที่พบได้มากที่สุด
  • AA Amyloidosis:  เกิดจากโรคเรื้อรังที่ทำให้เกิดการอักเสบต่อเนื่อง เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ทำให้เกิดโปรตีนอะไมลอยด์ที่เรียกว่า Amyloid A สะสมในร่างกาย โดยเฉพาะที่ตับ ไต ม้าม
  • ATTR amyloidosis:  มักเกิดจากโปรตีน Transthyretin (TTR) ที่มีมากจนเกิดการสะสมตามอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะเส้นประสาทและหัวใจ มีประเภทย่อย 2 แบบ คือ
    • Wild-type Amyloidosis เป็นประเภทที่เกิดโดยไม่ทราบสาเหตุ
    • Hereditary Amyloidosis เป็นประเภทที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม
  • โรคอะไมลอยด์โดสิสชนิดอื่น ๆ: เช่น โรคอะไมลอยด์โดสิสที่เกิดจากการฟอกไต การถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรือโรคอะไมลอยด์โดสิสที่เกิดในอวัยวะอื่น ๆ

ตัวอย่างของโรคอะไมลอยด์โดสิส เช่น

  • โรคไลเคนอะไมลอยด์โดสิส หรือ Lichen Amyloidosis เป็นภาวะที่โปรตีนอะไมลอยด์สะสมในผิวหนัง ทำให้เกิดตุ่มแข็งนูนสีน้ำตาลแดง เรียงกันคล้ายลูกปัด และมีอาการคันบ้าง มักพบในบริเวณหน้าแข้ง ต้นขา และเท้า
  • โรคอะไมลอยด์โดสิสหัวใจ หรือ Cardiac Amyloidosis คือภาวะที่โปรตีนอะไมลอยด์สะสมในกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานผิดปกติ ส่งผลให้มีอาการเหนื่อย เพลีย หน้ามืด ใจสั่น อาจมีอาการบวมน้ำ ทำท่วมปอด และอาการทางระบบประสาทร่วมด้วย

การตรวจวินิจฉัยและการป้องกันผลกระทบจากเบต้า-อะไมลอยด์

การตรวจสอบระดับเบต้า-อะไมลอยด์ในปัจจุบันสามารถทำได้หลายวิธี โดยการตรวจคัดกรอง เช่น การตรวจอัลไซเมอร์ ราคาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของแต่ละบุคคล เช่น

  • การตรวจโปรตีนจากเลือด: เป็นวิธีที่สะดวก ปลอดภัย และมีความแม่นยำสูง ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง Single Molecular Immune Detection (SMID) ในการตรวจวัดระดับโปรตีนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ ได้แก่ โปรตีน Neurofilament Light (NfL), Alpha-Synuclein, P-tau181 และ P-tau217 รวมถึงโปรตีนเบต้า-อะไมลอยด์อย่าง Amyloid beta 42, Amyloid beta 40
  • การตรวจภาพถ่ายสมอง: เช่น PET Scan สามารถแสดงให้เห็นการสะสมของโปรตีนในสมองและการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างสมอง
  • การตรวจยีน: รวมถึงการวิเคราะห์ทางพันธุกรรมอื่น ๆ สามารถช่วยประเมินความเสี่ยงโรคทางพันธุกรรมต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ รวมถึงโรคที่เกี่ยวข้องกับการสะสมของโปรตีนเบต้า-อะไมลอยด์ที่ผิดปกติ

การรักษาโรคเกี่ยวกับเบต้า-อะไมลอยด์

ในปัจจุบัน ทางการแพทย์ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีและวิธีการรักษาใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือการโรคต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโปรตีนเบต้า-อะไมลอยด์ และโปรตีนอะไมลอยด์อื่น ๆ โดยมีตัวอย่างของวิธีการรักษา ดังนี้

  • Personalized Medicine: หรือการแพทย์เฉพาะบุคคล เป็นแนวทางที่ใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมและลักษณะเฉพาะของแต่ละคนในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
  • ยากลุ่มยับยั้งการสะสมเบต้า-อะไมลอยด์: ปัจจุบันมีการพัฒนายาที่สามารถช่วยลดการสะสมของเบต้า-อะไมลอยด์หรือช่วยกำจัดโปรตีนที่สะสมแล้วออกจากสมอง
  • การรักษาตามอาการ: เช่น การใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ หรือเครื่องกระตุกสัญญาณไฟฟ้าหัวใจในผู้ป่วยโรคอะไมลอยด์โดสิสหัวใจ

การป้องกันและการดูแลสุขภาพจากเบต้า-อะไมลอยด์

การป้องกันการสะสมของเบต้า-อะไมลอยด์และการรักษาสุขภาพสมองสามารถทำได้ตั้งแต่วัยกลางคน โดยมีขั้นตอนในการดูแลสุขภาพ ดังนี้

  • นอนหลับอย่างมีคุณภาพ: ควรนอนหลับอย่างน้อย 7-9 ชั่วโมงต่อวัน และมีการนอนหลับลึกที่เพียงพอ เพื่อให้สมองสามารถกำจัดของเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมอง และกระตุ้นการทำงานของระบบกำจัดของเสียในสมอง ลดการสะสมของเบต้า-อะไมลอยด์ในสมอง
  • ควบคุมโรคเรื้อรังต่างๆ : เช่น การรักษาโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคอื่น ๆ ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • ฝึกสมองเป็นประจำ: การอ่านหนังสือ การเล่นเกมฝึกสมอง และการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จะช่วยรักษาประสิทธิภาพการทำงานของสมองให้ดีขึ้น
  • การตรวจสุขภาพประจำปี: รวมถึงการตรวจความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์เป็นระยะ ๆ สำหรับผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง จะช่วยให้สามารถตรวจพบและวางแผนการดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม


แม้ว่าโรคอัลไซเมอร์ รักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่การเข้าใจเกี่ยวกับโปรตีนชนิดนี้ ก็เป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญของการป้องกันและดูแลสุขภาพสมองให้ดียิ่งขึ้น การดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมและการตรวจคัดกรองแต่เนิ่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจหาโปรตีนเบต้า-อะไมลอยด์ การตรวจยีนมะเร็ง หรือการติดตามโรคตกค้างน้อยที่สุด หรือ Minimal Residual Disease (MRD) ก็สามารถช่วยวางแผนการดูแลร่างกาย และช่วยรักษาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้เช่นกัน

หากคุณหรือคนรู้จักมีอายุมากกว่า 50 ปี มีปัญหาด้านการนอนหลับ ความเครียดสะสม มีประวัติครอบครัวเป็นโรคอัลไซเมอร์ หรือต้องการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันอย่างครอบคลุม บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BKGI มีบริการตรวจคัดกรองโรคอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมอื่น ๆ ผ่านการตรวจเลือด โดยสามารถตรวจวัดระดับโปรตีนก่อโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และใช้เวลาเพียง 5-7 วันทำการในการรายงานผล เริ่มตรวจคัดกรองความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์กับ BKGI วันนี้ เพื่อการวางแผนดูแลสุขภาพสมองอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในอนาคต

บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทฯ ในเครือ BGI Genomics ที่ก่อตั้งในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ที่ได้รับมาตรฐาน ISO15189, ISO15190 และ ISO/IEC 27001:2022 จากสถาบันมาตรฐานอังกฤษ (BSI) ให้บริการตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรมที่ครอบคลุมในหลายด้าน ได้แก่

  • การตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมของทารกในครรภ์มารดา
  • การตรวจคัดกรองพาหะโรคทางพันธุกรรมสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตร หรือมีบุตรยาก
  • การตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนก่อมะเร็ง เพื่อหาตัวยาในการรักษาแบบเฉพาะบุคคล
  • การตรวจคัดกรองความเสี่ยงยีนก่อโรคการเกิดมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
  • การตรวจวิเคราะห์กลุ่มโรคติดเชื้อ รวมถึงมะเร็งปากมดลูกและ COVID-19
  • การตรวจวิเคราะห์พันธุกรรมเฉพาะบุคคลเพื่อวางแผนสุขภาพและชะลอวัย

ติดต่อเรา
โทร: 094 616 6878
อีเมล: marketing@bangkokgenomics.com
เว็บไซต์: https://www.bangkokgenomics.com
ที่อยู่: 3689 ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กทม. 10110
เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 8.30-17.30 น., เสาร์ 9.00-15.00 น.


บทความที่เกี่ยวข้อง
มะเร็งระยะที่ 4 กับความหวังใหม่ในการรักษาและการดูแลแบบองค์รวม
มะเร็งระยะที่ 4 หรือมะเร็งระยะลุกลาม ต่างมีทางเลือกการรักษาที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยมีอายุที่ยืนยาว พร้อมกับคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
Minimal Residual Disease (MRD) คืออะไร สำคัญอย่างไรต่อการรักษาโรคมะเร็ง
Minimal Residual Disease (MRD) หรือ โรคตกค้างน้อยที่สุด คือเซลล์มะเร็งเล็กน้อยที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายหลังการรักษา และมีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินผลการรักษา
Comprehensive Genetic Testing คืออะไร จำเป็นอย่างไรต่อการดูแลสุขภาพ
Comprehensive Genetic Testing หรือการตรวจรหัสพันธุกรรมแบบครอบคลุม ที่ช่วยให้เราเข้าใจความเสี่ยงทางพันธุกรรม วินิจฉัยโรค และวางแผนการรักษาได้แม่นยำและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy