แชร์

ทำความรู้จักภาวะสมองเสื่อม (Dementia) ภัยเงียบของผู้สูงอายุ

1128 ผู้เข้าชม

ภาวะสมองเสื่อม หรือ dementia เป็นกลุ่มอาการทางระบบประสาทที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว การทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะนี้อย่างถูกต้องจึงมีความสำคัญยิ่งต่อการป้องกัน การวินิจฉัย และการวางแผนดูแลรักษาที่เหมาะสม

เนื่องจากภาวะสมองเสื่อมไม่ใช่เพียงการหลงลืมตามธรรมชาติของวัย แต่เป็นความผิดปกติของการทำงานของสมองที่ต้องการการดูแลทางการแพทย์อย่างจริงจัง หากขาดการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม อาการอาจมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมในระยะยาว ดังนั้น การตรวจสุขภาพเป็นประจำและการเฝ้าระวังสัญญาณเตือนเบื้องต้นจึงเป็นกุญแจสำคัญในการตรวจพบสมองเสื่อมตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) คืออะไร

Dementia หรือภาวะสมองเสื่อม ไม่ใช่โรคจำเพาะเจาะจง แต่เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากความผิดปกติของสมองหลายรูปแบบ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อความสามารถในการคิด การตัดสินใจ พฤติกรรม และทักษะในการดำเนินชีวิตประจำวัน จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตทางสังคมและการทำงาน เช่น ไม่สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยทำเป็นประจำ พูดจาติด ๆ ขัด ๆ หรือเริ่มมีการหลงลืม

โดยลักษณะสำคัญของภาวะสมองเสื่อม คือ การสูญเสียความสามารถในการรู้คิด (Cognitive Impairment) ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ซึ่งแพทย์จะวินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีภาวะ Dementia หากส่วนการรู้คิดสองส่วนหรือมากกว่านั้นมีความบกพร่องอย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น

  • ความจำ: การสูญเสียความทรงจำ ทั้งความทรงจำระยะสั้นและระยะยาว
  • ทักษะทางภาษา: ความยากลำบากในการพูด การเข้าใจภาษา และการอ่าน
  • ความรู้ความเข้าใจ: การขาดความสามารถในการรับรู้และประมวลผลข้อมูล
  • ทักษะด้านมิติสัมพันธ์: ปัญหาในการรับรู้ตำแหน่ง ระยะทาง และความสัมพันธ์ของวัตถุ
  • การตัดสินใจ: มีความบกพร่องในการตัดสินใจและการวางแผน
  • ความใส่ใจ: มีความยากลำบากในการจดจ่อและให้ความสนใจ

Cognitive Impairment คืออะไร เกี่ยวข้องกับ Dementia อย่างไร

ภาวะปริชานหรือการรู้คิดบกพร่องบกพร่อง หรือ Cognitive Impairment คือ  ภาวะที่ความสามารถทางสมองด้านการคิด วิเคราะห์ ความจำ การใช้เหตุผล หรือการแก้ปัญหา ลดลงจากระดับปกติ โดยความบกพร่องนี้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันในระดับที่แตกต่างกันไป ภาวะการรู้คิดบกพร่องแบ่งเป็น MCI และ dementia โดย dementia จะมีผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน และอาจจัดความรุนแรงเป็นระยะ เล็กน้อย/ปานกลาง/รุนแรง ตามผลกระทบต่อการทำกิจวัตร

  • Mild Cognitive Impairment (MCI): เป็นภาวะที่พบการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในความสามารถทางปัญญา แต่ผู้ป่วยยังสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วย MCI มีความเสี่ยงสูงที่จะพัฒนาไปสู่ภาวะ Dementia ในอนาคต
  • Moderate Cognitive Impairment: เป็นระดับที่เริ่มประสบปัญหาในการทำกิจกรรมที่มีความซับซ้อน ความสามารถในการตัดสินใจเริ่มลดลง และอาจจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือในบางกิจกรรม
  • Dementia หรือภาวะสมองเสื่อมระยะรุนแรง ผู้ป่วยจะสูญเสียความสามารถในการดูแลตนเองอย่างสมบูรณ์ และต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา

ภาวะ Dementia มีกี่ระยะ

ภาวะ Dementia มีกี่ระยะบ้างนั้น ทางองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้แบ่งภาวะสมองเสื่อมออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

  • ระยะต้น (Mild Dementia)
    ป่วยเริ่มมีอาการหลงลืมเล็กน้อย ความจำสั้น แต่ยังคงสามารถนึกถึงความทรงจำต่าง ๆ เช่น สถานที่ที่คุ้นเคย หรือชื่อคนรู้จักต่าง ๆ ได้
  • ระยะกลาง (Moderate Dementia)
    อาการเริ่มชัดเจน เริ่มหลงลืมเหตุการณ์สำคัญ หลงลืมชื่อคน หลงสถานที่ และเริ่มมีปัญหาด้านการสื่อสาร เช่น ถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ นึกคำศัพท์ไม่ออก
  • สมองเสื่อมระยะสุดท้าย หรือระยะรุนแรง (Severe Dementia)
    ผู้ป่วยมีความบกพร่องในความสามารถในการรู้คิดโดยสมบูรณ์ ไม่ทราบวันเวลา มีอาการหลงลืมสิ่งต่าง ๆ และมีพฤติกรรมด้านอารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ต้องพึ่งพาการดูแลอย่างใกล้ชิด

การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Wellness) ถือเป็นแนวทางสำคัญในการป้องกันหรือชะลอการเกิดภาวะบกพร่องทางความรู้ความสามารถ ซึ่งรวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การกระตุ้นสมองผ่านกิจกรรมต่าง ๆ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อสมองได้


ปัจจัยเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม

การทำความเข้าใจปัจจัยเสี่ยงของภาวะ Dementia มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการป้องกัน การวินิจฉัยตั้งแต่เริ่มต้น และการดูแลผู้ป่วยอย่างเหมาะสม โดยปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ตามช่วงอายุ ลักษณะการเกิดโรค และปัจจัยอื่น ๆ ดังนี้

ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้

ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้เป็นสิ่งที่สามารถปรับเปลี่ยนหรือจัดการได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อม

  • โรคเบาหวาน: ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเรื้อรังสามารถทำลายหลอดเลือดในสมอง ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดและนำไปสู่ความเสื่อมของเซลล์สมอง
  • ความดันโลหิตสูง: ความดันโลหิตที่ไม่ได้รับการควบคุมอาจสร้างความเสียหายต่อระบบไหลเวียนโลหิตในสมอง ทำให้เกิดภาวะขาดเลือดและเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด: เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือโรคหลอดเลือดสมอง สามารถลดการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมอง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เซลล์สมองเสียหาย
  • โรคอ้วน: ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน มักเกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรังและโรคเมแทบอลิซึมต่าง ๆ ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพสมอง
  • การสูบบุหรี่: สารเคมีในบุหรี่มีฤทธิ์ทำลายหลอดเลือด ลดปริมาณออกซิเจนที่ไปเลี้ยงสมอง และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากและต่อเนื่อง สามารถสร้างความเสียหายโดยตรงต่อเนื้อเยื่อสมองได้
  • ภาวะซึมเศร้า: ภาวะซึมเศร้าอาจเป็นทั้งสาเหตุและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับภาวะ Dementia
  • การขาดการออกกำลังกาย: การไม่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ลดการไหลเวียนโลหิตและการเสริมสร้างเซลล์สมอง
  • การขาดการกระตุ้นสมอง: การขาดกิจกรรมที่ท้าทายความคิดและการเรียนรู้ใหม่ ๆ อาจส่งผลเสียต่อการทำงานของสมองได้

ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้

ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่การตระหนักถึงความเสี่ยงเหล่านี้สามารถช่วยให้เราเตรียมพร้อมและดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม

  • อายุ: ความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นชัดเจนตามอายุ โดย อัตราเกิดโรคมีแนวโน้มเพิ่มราวสองเท่าทุก 5 ปี นับจากอายุ 65 ปีขึ้นไป; ความชุกในวัย 85+ สูงขึ้นอย่างมาก 
  • พันธุกรรม: การมีประวัติครอบครัวที่เป็นอัลไซเมอร์หรือภาวะสมองเสื่อมอื่น ๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อม รวมถึงการกลายพันธุ์ของยีน APP, PSEN1, PSEN2 เป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์แต่เนิ่น ๆ (Early-onset Alzheimer's Disease)

ปัจจัยเสี่ยงในผู้สูงอายุ

ภาวะ Dementia ในผู้สูงอายุไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกระบวนการเสื่อมตามอายุตามธรรมชาติ แต่เป็นผลจากโรคเฉพาะที่เกิดขึ้นในสมอง การทำความเข้าใจข้อแตกต่างนี้จะช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการตรวจสุขภาพและการขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ โดยผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปีมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมและความเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุก ๆ 5 ปีหลังจากอายุ 65 ปี จนถึงอายุ 85 ปีขึ้นไป ที่ความเสี่ยงอาจสูงถึง 25-30% ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในผู้สูงอายุ

ปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อยและสำคัญในกลุ่มผู้สูงอายุ ประกอบด้วย:

  • โรคเรื้อรังที่ขาดการควบคุม เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ
  • การใช้ชีวิตที่ไม่เอื้อต่อสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • ภาวะซึมเศร้าและสภาวะจิตใจที่ย่ำแย่
  • การขาดการออกกำลังกายและกิจกรรมกระตุ้นสมอง
  • ปัญหาการนอนหลับ ที่อาจส่งผลต่อการทำงานของสมองในระยะยาว

หลักฐานปี 2024 ชี้ว่าการจัดการ 14 ปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขได้ (ได้แก่ การศึกษาน้อย, หูตึง/การได้ยิน, การมองเห็นบกพร่อง, ความดันสูง, เบาหวาน, ไขมัน LDL สูงช่วงวัยกลางคน, โรคอ้วน, ซึมเศร้า, สูบบุหรี่, ไม่ออกกำลังกาย, แอลกอฮอล์มาก, การแยกตัวทางสังคม, มลพิษอากาศ, TBI) อาจ ป้องกันหรือชะลอ กรณีได้รวมราว 45% ทั้งช่วงชีวิต

ปัจจัยเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมในคนอายุต่ำกว่า 65 

โรคความจำเสื่อมในคนอายุต่ำกว่า 65 เป็นภาวะที่พบได้ยาก แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน โดยเรียกว่า "Young-Onset Dementia" หรือภาวะสมองเสื่อมที่เกิดในวัยทำงาน หมายถึงการเกิดโรคในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 65 ปี โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใหญ่ตอนต้น โดยปัจจัยเสี่ยงส่วนใหญ่ มักเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม โดยเฉพาะการกลายพันธุ์ของยีนเฉพาะที่ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ในวัยเริ่มต้น และการบาดเจ็บของสมองที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุและโรคอื่น ๆ เป็นต้น

Dementia มีกี่ประเภท

ภาวะสมองเสื่อม หรือ Dementia มีกี่ประเภทนั้น ทางการแพทย์ได้แบ่งประเภทของภาวะสมองเสื่อมตามสาเหตุและลักษณะการเกิดโรคต่าง ๆ ซึ่งมีประเภทหลัก ดังนี้

1. โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer's Disease): เป็นรูปแบบของ Dementia ที่พบมากที่สุด โดยคิดเป็นสองในสามของผู้ป่วยทั้งหมด มีลักษณะเฉพาะคือการมีแผ่นโปรตีนอมีลอยด์ (Amyloid Plaques) และโปรตีนเทา (Tau Protein) ที่ขัดขวางการสื่อสารของเซลล์ประสาทในสมอง

2. ภาวะสมองเสื่อมจากโรคหลอดเลือด (Vascular Dementia): เกิดจากการขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงในสมอง เช่น ภาวะหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก จนทำให้เซลล์ประสาทเสียหายและตายในที่สุด

3. โรคเลวีบอดี (Lewy Body Disease): มีลักษณะเด่นคือการมีเลวีบอดี (Lewy bodies) ซึ่งเป็นโปรตีน alpha-Synuclein ที่จับกันเป็นก้อนมากผิดปกติและลุกลามในเซลล์ประสาท จนทำให้เซลล์ประสาทเสียหายในที่สุด

4. ภาวะสมองเสื่อมบริเวณสมองส่วนหน้า (Frontotemporal Dementia): เกิดจากความเสียหายที่รุนแรงต่อสมองกลีบหน้า และ/หรือสมองกลีบขมับ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านบุคลิก พฤติกรรม และการใช้ภาษาในด้านต่าง ๆ


Dementia กับ Delirium ต่างกันอย่างไร

ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) และอาการสับสนเฉียบพลัน (Delirium) เป็นภาวะที่ส่งผลต่อการทำงานของสมองและทำให้เกิดความผิดปกติในการรับรู้ที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อการวินิจฉัยและการจัดการที่ถูกต้อง โดยทั้งสองอาการจะมีความแตกต่าง ดังนี้


ภาวะสมองเสื่อม (Dementia)

เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการสูญเสียความสามารถทางสติปัญญาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อความจำ การคิด การตัดสินใจ และพฤติกรรม โดยทั่วไปแล้ว ภาวะนี้เป็นความเสื่อมถอยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถฟื้นฟูได้ ผู้ป่วยมักมีอาการแย่ลงเมื่อเวลาผ่านไป และการสูญเสียความสามารถทางปัญญาจะค่อย ๆ รุนแรงขึ้น

อาการสับสนเฉียบพลัน (Delirium)

เป็นภาวะความสับสนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเฉียบพลัน มักมีสาเหตุที่ชัดเจน เช่น การติดเชื้อ การผ่าตัด การได้รับยาบางชนิด หรือภาวะขาดน้ำ โดยอาการของ Delirium มีการเปลี่ยนแปลงความสนใจ/ความตื่นตัวแบบเฉียบพลันและผันผวน มักเกิดจากโรคกาย/ยา และสามารถหายได้เมื่อรักษาสาเหตุ

จากที่กล่าวไปนั้น จะเห็นว่า Delirium เป็นอาการที่มีสาเหตุที่ชัดเจนและมีโอกาสหายขาดที่สูงกว่า Dementia การแยกแยะทั้งสองภาวะอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวางแผนการตรวจสุขภาพ การวินิจฉัย และการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถดำเนินการดูแลและจัดการกับภาวะเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดขึ้นในอนาคต


Dementia กับ Alzheimer ต่างกันอย่างไร

บางคนอาจยังมีความเข้าใจว่าภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์เป็นโรคเดียวกัน และอาจไม่ทราบว่า ภาวะ Dementia กับ Alzheimer ต่างกันอย่างไร หรือเป็นคนละโรคกันหรือไม่ แต่ความจริงแล้วโรคอัลไซเมอร์นั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ Dementia ไม่ใช่โรคที่แยกจากกัน เนื่องจาก

  • Dementia เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มอาการของโรคต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการสูญเสียความสามารถทางสติปัญญา ในขณะที่โรคอัลไซเมอร์เป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะ Dementia ที่พบบ่อยที่สุด คิดเป็นประมาณ 60-80% ของผู้ป่วย Dementia ทั้งหมด
  • โรคอัลไซเมอร์ อาการเริ่มต้นด้วยการสูญเสียความจำระยะสั้น ตามด้วยการเสื่อมของความสามารถอื่น ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วน Dementia ประเภทอื่น ๆ อาจมีอาการเริ่มต้นที่แตกต่างกัน เช่น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในกรณีของภาวะสมองเสื่อมบริเวณสมองส่วนหน้า


วิธีการดูแลรักษาผู้ป่วย Dementia และอัลไซเมอร์

การดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ วิธีรักษาต้องอาศัยแนวทางการรักษาแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งการรักษาทางการแพทย์ การดูแลรอบด้าน และการสนับสนุนครอบครัว โดยเทคโนโลยีทางการแพทย์ปัจจุบันได้พัฒนาให้การตรวจวินิจฉัยและการติดตามผู้ป่วยมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีการตรวจสุขภาพเฉพาะทางที่ช่วยในการประเมินความเสี่ยงและวางแผนการดูแลผู้ป่วย Dementia และโรคอัลไซเมอร์ รักษาได้อย่างเหมาะสม

 

การตรวจวินิจฉัยและการคัดกรองในยุคปัจจุบัน

การตรวจอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมอื่น ๆ ผ่านเลือด

การตรวจอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมอื่น ๆ ผ่านเลือด บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) ได้พัฒนาบริการตรวจอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมอื่น ๆ ผ่านเลือด ด้วยเทคโนโลยี Single Molecular Immune Detection (SMID) ที่ตรวจวัดระดับโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับภาวะสมองเสื่อมได้อย่างแม่นยำ

ปัจจุบันมีการใช้ Blood-based biomarkers ที่สามารถตรวจโปรตีนสำคัญจากเลือด ประกอบด้วย Amyloid beta 42/40 (โปรตีนหลักที่สะสมในสมองผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์), ptau181 และ ptau217 (โปรตีนบ่งชี้การเสื่อมของเซลล์ประสาท), Neurofilament Light (โปรตีนที่แสดงความเสียหายเซลล์ประสาท), และ alpha-Synuclein (โปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโรคพาร์กินสัน)

ข้อดีของการตรวจผ่านเลือด คือความสะดวก รวดเร็ว และมีความแม่นยำสูงกว่า 90% ให้ผลการตรวจภายใน 5-7 วันทำการ เหมาะสำหรับการตรวจคัดกรองในผู้ที่มีความเสี่ยงอาการบกพร่องทางรู้คิด 

แนวทางการรักษาโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อม

การรักษาด้วยยา

  • ยากลุ่ม Cholinesterase Inhibitors: เพื่อชะลออาการของภาวะ Dementia
  • ยาเมแมนทีน (Memantine): สำหรับระยะปานกลางถึงรุนแรง ควบคุมการทำงานของสารสื่อประสาทในสมอง
  • ยาสำหรับอาการทางจิตเวช: สำหรับรักษาภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และอาการที่เกิดจากพฤติกรรมและจิตใจที่ผิดปกติ (BPSD)

นอกจากยากลุ่ม cholinesterase inhibitors/memantine ยังมี lecanemab (อนุมัติ 2023) และ donanemab (อนุมัติ 2024) สำหรับ ระยะต้น ที่ยืนยัน amyloid โดยต้องเฝ้าระวัง ARIA


การรักษาแบบไม่ใช้ยา

การกระตุ้นความจำและการรู้คิด

  • การฝึกความจำด้วยเกม ปริศนา การอ่าน
  • การบำบัดความจำและการฝึกใช้เหตุผล


กิจกรรมบำบัด

  • การบำบัดด้วยการทำงาน รักษาทักษะชีวิตประจำวัน
  • การบำบัดทางกายและการพูด รักษาความแข็งแรงและการสื่อสาร
  • ดนตรีและศิลปะบำบัด กระตุ้นความจำ ลดความเครียด
  • การออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น การเดิน หรือโยคะ

การดูแลตามระยะของโรค

ระยะเริ่มต้น

  • ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและครอบครัว
  • วางแผนล่วงหน้าด้านการเงินและกฎหมาย
  • ส่งเสริมความเป็นอิสระและปรับสิ่งแวดล้อม

ระยะกลาง

  • จัดกิจวัตรประจำวันที่มีโครงสร้าง
  • ดูแลความปลอดภัย ป้องกันการหกล้มและหลงทาง
  • จัดการพฤติกรรมท้าทาย

ระยะสุดท้าย

  • จัดการความเจ็บปวด ด้วยยาและเทคนิคไม่ใช้ยา
  • ป้องกันภาวะแทรกซ้อน การติดเชื้อ แผลกดทับ ปัญหาการกลืน
  • ดูแลทางอารมณ์ สร้างสภาพแวดล้อมอบอุ่น การสัมผัสอ่อนโยน

การป้องกันและการดูแลเชิงรุก

การตรวจสุขภาพเป็นประจำ

การตรวจสุขภาพประจำปีครอบคลุมการประเมินสภาพจิต การทำงานของสมอง และปัจจัยเสี่ยง รวมถึงการพิจารณาการตรวจอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมอื่น ๆ ผ่านเลือดในผู้มีความเสี่ยง

การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต

  • ควบคุมโรคเรื้อรังเช่นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและทำกิจกรรมกระตุ้นสมอง

Dementia หรือภาวะสมองเสื่อมเป็นปัญหาสุขภาพที่ต้องการความเข้าใจและการเตรียมพร้อมจากทุกภาคส่วน การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ การตรวจหาสาเหตุเบื้องต้น และการดูแลรักษาที่เหมาะสมจะช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถจัดการกับโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การป้องกันโรคควรเริ่มต้นตั้งแต่วัยหนุ่มสาวด้วยการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม การควบคุมปัจจัยเสี่ยง และการสร้างสรรค์กิจกรรมที่กระตุ้นสมองอย่างสม่ำเสมอ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการเริ่มแรกของภาวะสมองเสื่อม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการดูแลรักษาที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด

บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทฯ ในเครือ BGI Genomics ที่ก่อตั้งในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ที่ได้รับมาตรฐาน ISO15189, ISO15190 และ ISO/IEC 27001:2022 จากสถาบันมาตรฐานอังกฤษ (BSI) ให้บริการตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรมที่ครอบคลุมในหลายด้าน ได้แก่

  • การตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมของทารกในครรภ์มารดา
  • การตรวจคัดกรองพาหะโรคทางพันธุกรรมสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตร หรือมีบุตรยาก
  • การตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนก่อมะเร็ง เพื่อหาตัวยาในการรักษาแบบเฉพาะบุคคล
  • การตรวจคัดกรองความเสี่ยงยีนก่อโรคการเกิดมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
  • การตรวจวิเคราะห์กลุ่มโรคติดเชื้อ รวมถึงมะเร็งปากมดลูกและ COVID-19
  • การตรวจวิเคราะห์พันธุกรรมเฉพาะบุคคลเพื่อวางแผนสุขภาพและชะลอวัย

ติดต่อเรา
โทร: 094 616 6878
อีเมล: marketing@bangkokgenomics.com
เว็บไซต์: https://www.bangkokgenomics.com
ที่อยู่: 3689 ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กทม. 10110
เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 8.30-17.30 น., เสาร์ 9.00-15.00 น.


บทความที่เกี่ยวข้อง
What is Cancer Monitoring? How Genetic Testing Helps Track Your Cancer Journey
After a Cancer diagnosis (การวินิจฉัยโรคมะเร็ง), the journey of care moves into a stage where continuous surveillance becomes essential.
ความผิดปกติของโครโมโซมเพศ 7 โรคสำคัญที่พ่อแม่ควรรู้ พร้อมแนวทางตรวจคัดกรอง
โครโมโซมเพศ (Sex Chromosome) นับเป็นส่วนสำคัญของสารพันธุกรรมในร่างกายมนุษย์ ทำหน้าที่กำหนดเพศ และเป็นบริเวณที่มักพบความผิดปกติได้ค่อนข้างบ่อย
ตรวจ NIFTY Pro วันนี้ คัดกรองธาลัสซีเมียคุณแม่ ฟรี! ที่ BKGI
กรองทางพันธุกรรมที่ทันสมัย โดยเฉพาะ NIFTY Pro ซึ่งเป็นแพ็กเกจการตรวจ NIPT (Non-Invasive Prenatal Testing) ที่ครอบคลุมการตรวจความผิดปกติทางโครโมโซมที่เหมาะสำหรับคุณแม่และครอบครัวที่ต้องการทราบผลการคัดกรองที่แม่นยำ
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy