แชร์

ทำความรู้จักภาวะสมองเสื่อม (Dementia) ภัยเงียบของผู้สูงอายุ

21 ผู้เข้าชม

ภาวะสมองเสื่อม หรือ dementia เป็นกลุ่มอาการทางระบบประสาทที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว การทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะนี้อย่างถูกต้องจึงมีความสำคัญยิ่งต่อการป้องกัน การวินิจฉัย และการวางแผนดูแลรักษาที่เหมาะสม

เนื่องจากภาวะสมองเสื่อมไม่ใช่เพียงการหลงลืมตามธรรมชาติของวัย แต่เป็นความผิดปกติของการทำงานของสมองที่ต้องการการดูแลทางการแพทย์อย่างจริงจัง หากขาดการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม อาการอาจมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมในระยะยาว ดังนั้น การตรวจสุขภาพเป็นประจำและการเฝ้าระวังสัญญาณเตือนเบื้องต้นจึงเป็นกุญแจสำคัญในการตรวจพบสมองเสื่อมตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) คืออะไร

Dementia หรือภาวะสมองเสื่อม ไม่ใช่โรคจำเพาะเจาะจง แต่เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากความผิดปกติของสมองหลายรูปแบบ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อความสามารถในการคิด การตัดสินใจ พฤติกรรม และทักษะในการดำเนินชีวิตประจำวัน จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตทางสังคมและการทำงาน เช่น ไม่สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยทำเป็นประจำ พูดจาติด ๆ ขัด ๆ หรือเริ่มมีการหลงลืม

โดยลักษณะสำคัญของภาวะสมองเสื่อม คือ การสูญเสียความสามารถในการรู้คิด (Cognitive Impairment) ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ซึ่งแพทย์จะวินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีภาวะ Dementia หากส่วนการรู้คิดสองส่วนหรือมากกว่านั้นมีความบกพร่องอย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น

  • ความจำ: การสูญเสียความทรงจำ ทั้งความทรงจำระยะสั้นและระยะยาว
  • ทักษะทางภาษา: ความยากลำบากในการพูด การเข้าใจภาษา และการอ่าน
  • ความรู้ความเข้าใจ: การขาดความสามารถในการรับรู้และประมวลผลข้อมูล
  • ทักษะด้านมิติสัมพันธ์: ปัญหาในการรับรู้ตำแหน่ง ระยะทาง และความสัมพันธ์ของวัตถุ
  • การตัดสินใจ: มีความบกพร่องในการตัดสินใจและการวางแผน
  • ความใส่ใจ: มีความยากลำบากในการจดจ่อและให้ความสนใจ

Cognitive Impairment คืออะไร เกี่ยวข้องกับ Dementia อย่างไร

ภาวะปริชานหรือการรู้คิดบกพร่องบกพร่อง หรือ Cognitive Impairment คือ  ภาวะที่ความสามารถทางสมองด้านการคิด วิเคราะห์ ความจำ การใช้เหตุผล หรือการแก้ปัญหา ลดลงจากระดับปกติ โดยความบกพร่องนี้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันในระดับที่แตกต่างกันไป ภาวะการรู้คิดบกพร่องแบ่งเป็น MCI และ dementia โดย dementia จะมีผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน และอาจจัดความรุนแรงเป็นระยะ เล็กน้อย/ปานกลาง/รุนแรง ตามผลกระทบต่อการทำกิจวัตร

  • Mild Cognitive Impairment (MCI): เป็นภาวะที่พบการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในความสามารถทางปัญญา แต่ผู้ป่วยยังสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วย MCI มีความเสี่ยงสูงที่จะพัฒนาไปสู่ภาวะ Dementia ในอนาคต
  • Moderate Cognitive Impairment: เป็นระดับที่เริ่มประสบปัญหาในการทำกิจกรรมที่มีความซับซ้อน ความสามารถในการตัดสินใจเริ่มลดลง และอาจจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือในบางกิจกรรม
  • Dementia หรือภาวะสมองเสื่อมระยะรุนแรง ผู้ป่วยจะสูญเสียความสามารถในการดูแลตนเองอย่างสมบูรณ์ และต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา

ภาวะ Dementia มีกี่ระยะ

ภาวะ Dementia มีกี่ระยะบ้างนั้น ทางองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้แบ่งภาวะสมองเสื่อมออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

  • ระยะต้น (Mild Dementia)
    ป่วยเริ่มมีอาการหลงลืมเล็กน้อย ความจำสั้น แต่ยังคงสามารถนึกถึงความทรงจำต่าง ๆ เช่น สถานที่ที่คุ้นเคย หรือชื่อคนรู้จักต่าง ๆ ได้
  • ระยะกลาง (Moderate Dementia)
    อาการเริ่มชัดเจน เริ่มหลงลืมเหตุการณ์สำคัญ หลงลืมชื่อคน หลงสถานที่ และเริ่มมีปัญหาด้านการสื่อสาร เช่น ถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ นึกคำศัพท์ไม่ออก
  • สมองเสื่อมระยะสุดท้าย หรือระยะรุนแรง (Severe Dementia)
    ผู้ป่วยมีความบกพร่องในความสามารถในการรู้คิดโดยสมบูรณ์ ไม่ทราบวันเวลา มีอาการหลงลืมสิ่งต่าง ๆ และมีพฤติกรรมด้านอารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ต้องพึ่งพาการดูแลอย่างใกล้ชิด

การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Wellness) ถือเป็นแนวทางสำคัญในการป้องกันหรือชะลอการเกิดภาวะบกพร่องทางความรู้ความสามารถ ซึ่งรวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การกระตุ้นสมองผ่านกิจกรรมต่าง ๆ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อสมองได้


ปัจจัยเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม

การทำความเข้าใจปัจจัยเสี่ยงของภาวะ Dementia มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการป้องกัน การวินิจฉัยตั้งแต่เริ่มต้น และการดูแลผู้ป่วยอย่างเหมาะสม โดยปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ตามช่วงอายุ ลักษณะการเกิดโรค และปัจจัยอื่น ๆ ดังนี้

ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้

ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้เป็นสิ่งที่สามารถปรับเปลี่ยนหรือจัดการได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อม

  • โรคเบาหวาน: ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเรื้อรังสามารถทำลายหลอดเลือดในสมอง ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดและนำไปสู่ความเสื่อมของเซลล์สมอง
  • ความดันโลหิตสูง: ความดันโลหิตที่ไม่ได้รับการควบคุมอาจสร้างความเสียหายต่อระบบไหลเวียนโลหิตในสมอง ทำให้เกิดภาวะขาดเลือดและเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด: เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือโรคหลอดเลือดสมอง สามารถลดการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมอง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เซลล์สมองเสียหาย
  • โรคอ้วน: ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน มักเกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรังและโรคเมแทบอลิซึมต่าง ๆ ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพสมอง
  • การสูบบุหรี่: สารเคมีในบุหรี่มีฤทธิ์ทำลายหลอดเลือด ลดปริมาณออกซิเจนที่ไปเลี้ยงสมอง และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
  • เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากและต่อเนื่อง สามารถสร้างความเสียหายโดยตรงต่อเนื้อเยื่อสมองได้
  • ภาวะซึมเศร้า: ภาวะซึมเศร้าอาจเป็นทั้งสาเหตุและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับภาวะ Dementia
  • การขาดการออกกำลังกาย: การไม่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ลดการไหลเวียนโลหิตและการเสริมสร้างเซลล์สมอง
  • การขาดการกระตุ้นสมอง: การขาดกิจกรรมที่ท้าทายความคิดและการเรียนรู้ใหม่ ๆ อาจส่งผลเสียต่อการทำงานของสมองได้

ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้

ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่การตระหนักถึงความเสี่ยงเหล่านี้สามารถช่วยให้เราเตรียมพร้อมและดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม

  • อายุ: ความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นชัดเจนตามอายุ โดย อัตราเกิดโรคมีแนวโน้มเพิ่มราวสองเท่าทุก 5 ปี นับจากอายุ 65 ปีขึ้นไป; ความชุกในวัย 85+ สูงขึ้นอย่างมาก 
  • พันธุกรรม: การมีประวัติครอบครัวที่เป็นอัลไซเมอร์หรือภาวะสมองเสื่อมอื่น ๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อม รวมถึงการกลายพันธุ์ของยีน APP, PSEN1, PSEN2 เป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์แต่เนิ่น ๆ (Early-onset Alzheimer's Disease)

ปัจจัยเสี่ยงในผู้สูงอายุ

ภาวะ Dementia ในผู้สูงอายุไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกระบวนการเสื่อมตามอายุตามธรรมชาติ แต่เป็นผลจากโรคเฉพาะที่เกิดขึ้นในสมอง การทำความเข้าใจข้อแตกต่างนี้จะช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการตรวจสุขภาพและการขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ โดยผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปีมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมและความเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุก ๆ 5 ปีหลังจากอายุ 65 ปี จนถึงอายุ 85 ปีขึ้นไป ที่ความเสี่ยงอาจสูงถึง 25-30% ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในผู้สูงอายุ

ปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อยและสำคัญในกลุ่มผู้สูงอายุ ประกอบด้วย:

  • โรคเรื้อรังที่ขาดการควบคุม เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ
  • การใช้ชีวิตที่ไม่เอื้อต่อสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
  • ภาวะซึมเศร้าและสภาวะจิตใจที่ย่ำแย่
  • การขาดการออกกำลังกายและกิจกรรมกระตุ้นสมอง
  • ปัญหาการนอนหลับ ที่อาจส่งผลต่อการทำงานของสมองในระยะยาว

หลักฐานปี 2024 ชี้ว่าการจัดการ 14 ปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขได้ (ได้แก่ การศึกษาน้อย, หูตึง/การได้ยิน, การมองเห็นบกพร่อง, ความดันสูง, เบาหวาน, ไขมัน LDL สูงช่วงวัยกลางคน, โรคอ้วน, ซึมเศร้า, สูบบุหรี่, ไม่ออกกำลังกาย, แอลกอฮอล์มาก, การแยกตัวทางสังคม, มลพิษอากาศ, TBI) อาจ ป้องกันหรือชะลอ กรณีได้รวมราว 45% ทั้งช่วงชีวิต

ปัจจัยเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมในคนอายุต่ำกว่า 65 

โรคความจำเสื่อมในคนอายุต่ำกว่า 65 เป็นภาวะที่พบได้ยาก แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน โดยเรียกว่า "Young-Onset Dementia" หรือภาวะสมองเสื่อมที่เกิดในวัยทำงาน หมายถึงการเกิดโรคในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 65 ปี โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใหญ่ตอนต้น โดยปัจจัยเสี่ยงส่วนใหญ่ มักเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม โดยเฉพาะการกลายพันธุ์ของยีนเฉพาะที่ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ในวัยเริ่มต้น และการบาดเจ็บของสมองที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุและโรคอื่น ๆ เป็นต้น

Dementia มีกี่ประเภท

ภาวะสมองเสื่อม หรือ Dementia มีกี่ประเภทนั้น ทางการแพทย์ได้แบ่งประเภทของภาวะสมองเสื่อมตามสาเหตุและลักษณะการเกิดโรคต่าง ๆ ซึ่งมีประเภทหลัก ดังนี้

1. โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer's Disease): เป็นรูปแบบของ Dementia ที่พบมากที่สุด โดยคิดเป็นสองในสามของผู้ป่วยทั้งหมด มีลักษณะเฉพาะคือการมีแผ่นโปรตีนอมีลอยด์ (Amyloid Plaques) และโปรตีนเทา (Tau Protein) ที่ขัดขวางการสื่อสารของเซลล์ประสาทในสมอง

2. ภาวะสมองเสื่อมจากโรคหลอดเลือด (Vascular Dementia): เกิดจากการขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงในสมอง เช่น ภาวะหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก จนทำให้เซลล์ประสาทเสียหายและตายในที่สุด

3. โรคเลวีบอดี (Lewy Body Disease): มีลักษณะเด่นคือการมีเลวีบอดี (Lewy bodies) ซึ่งเป็นโปรตีน alpha-Synuclein ที่จับกันเป็นก้อนมากผิดปกติและลุกลามในเซลล์ประสาท จนทำให้เซลล์ประสาทเสียหายในที่สุด

4. ภาวะสมองเสื่อมบริเวณสมองส่วนหน้า (Frontotemporal Dementia): เกิดจากความเสียหายที่รุนแรงต่อสมองกลีบหน้า และ/หรือสมองกลีบขมับ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านบุคลิก พฤติกรรม และการใช้ภาษาในด้านต่าง ๆ


Dementia กับ Delirium ต่างกันอย่างไร

ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) และอาการสับสนเฉียบพลัน (Delirium) เป็นภาวะที่ส่งผลต่อการทำงานของสมองและทำให้เกิดความผิดปกติในการรับรู้ที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อการวินิจฉัยและการจัดการที่ถูกต้อง โดยทั้งสองอาการจะมีความแตกต่าง ดังนี้


ภาวะสมองเสื่อม (Dementia)

เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการสูญเสียความสามารถทางสติปัญญาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อความจำ การคิด การตัดสินใจ และพฤติกรรม โดยทั่วไปแล้ว ภาวะนี้เป็นความเสื่อมถอยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถฟื้นฟูได้ ผู้ป่วยมักมีอาการแย่ลงเมื่อเวลาผ่านไป และการสูญเสียความสามารถทางปัญญาจะค่อย ๆ รุนแรงขึ้น

อาการสับสนเฉียบพลัน (Delirium)

เป็นภาวะความสับสนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเฉียบพลัน มักมีสาเหตุที่ชัดเจน เช่น การติดเชื้อ การผ่าตัด การได้รับยาบางชนิด หรือภาวะขาดน้ำ โดยอาการของ Delirium มีการเปลี่ยนแปลงความสนใจ/ความตื่นตัวแบบเฉียบพลันและผันผวน มักเกิดจากโรคกาย/ยา และสามารถหายได้เมื่อรักษาสาเหตุ

จากที่กล่าวไปนั้น จะเห็นว่า Delirium เป็นอาการที่มีสาเหตุที่ชัดเจนและมีโอกาสหายขาดที่สูงกว่า Dementia การแยกแยะทั้งสองภาวะอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวางแผนการตรวจสุขภาพ การวินิจฉัย และการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถดำเนินการดูแลและจัดการกับภาวะเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดขึ้นในอนาคต


Dementia กับ Alzheimer ต่างกันอย่างไร

บางคนอาจยังมีความเข้าใจว่าภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์เป็นโรคเดียวกัน และอาจไม่ทราบว่า ภาวะ Dementia กับ Alzheimer ต่างกันอย่างไร หรือเป็นคนละโรคกันหรือไม่ แต่ความจริงแล้วโรคอัลไซเมอร์นั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ Dementia ไม่ใช่โรคที่แยกจากกัน เนื่องจาก

  • Dementia เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มอาการของโรคต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการสูญเสียความสามารถทางสติปัญญา ในขณะที่โรคอัลไซเมอร์เป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะ Dementia ที่พบบ่อยที่สุด คิดเป็นประมาณ 60-80% ของผู้ป่วย Dementia ทั้งหมด
  • โรคอัลไซเมอร์ อาการเริ่มต้นด้วยการสูญเสียความจำระยะสั้น ตามด้วยการเสื่อมของความสามารถอื่น ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วน Dementia ประเภทอื่น ๆ อาจมีอาการเริ่มต้นที่แตกต่างกัน เช่น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในกรณีของภาวะสมองเสื่อมบริเวณสมองส่วนหน้า


วิธีการดูแลรักษาผู้ป่วย Dementia และอัลไซเมอร์

การดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ วิธีรักษาต้องอาศัยแนวทางการรักษาแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งการรักษาทางการแพทย์ การดูแลรอบด้าน และการสนับสนุนครอบครัว โดยเทคโนโลยีทางการแพทย์ปัจจุบันได้พัฒนาให้การตรวจวินิจฉัยและการติดตามผู้ป่วยมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีการตรวจสุขภาพเฉพาะทางที่ช่วยในการประเมินความเสี่ยงและวางแผนการดูแลผู้ป่วย Dementia และโรคอัลไซเมอร์ รักษาได้อย่างเหมาะสม

 

การตรวจวินิจฉัยและการคัดกรองในยุคปัจจุบัน

การตรวจอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมอื่น ๆ ผ่านเลือด

การตรวจอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมอื่น ๆ ผ่านเลือด บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) ได้พัฒนาบริการตรวจอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมอื่น ๆ ผ่านเลือด ด้วยเทคโนโลยี Single Molecular Immune Detection (SMID) ที่ตรวจวัดระดับโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับภาวะสมองเสื่อมได้อย่างแม่นยำ

ปัจจุบันมีการใช้ Blood-based biomarkers ที่สามารถตรวจโปรตีนสำคัญจากเลือด ประกอบด้วย Amyloid beta 42/40 (โปรตีนหลักที่สะสมในสมองผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์), ptau181 และ ptau217 (โปรตีนบ่งชี้การเสื่อมของเซลล์ประสาท), Neurofilament Light (โปรตีนที่แสดงความเสียหายเซลล์ประสาท), และ alpha-Synuclein (โปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโรคพาร์กินสัน)

ข้อดีของการตรวจผ่านเลือด คือความสะดวก รวดเร็ว และมีความแม่นยำสูงกว่า 90% ให้ผลการตรวจภายใน 5-7 วันทำการ เหมาะสำหรับการตรวจคัดกรองในผู้ที่มีความเสี่ยงอาการบกพร่องทางรู้คิด 

แนวทางการรักษาโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อม

การรักษาด้วยยา

  • ยากลุ่ม Cholinesterase Inhibitors: เพื่อชะลออาการของภาวะ Dementia
  • ยาเมแมนทีน (Memantine): สำหรับระยะปานกลางถึงรุนแรง ควบคุมการทำงานของสารสื่อประสาทในสมอง
  • ยาสำหรับอาการทางจิตเวช: สำหรับรักษาภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และอาการที่เกิดจากพฤติกรรมและจิตใจที่ผิดปกติ (BPSD)

นอกจากยากลุ่ม cholinesterase inhibitors/memantine ยังมี lecanemab (อนุมัติ 2023) และ donanemab (อนุมัติ 2024) สำหรับ ระยะต้น ที่ยืนยัน amyloid โดยต้องเฝ้าระวัง ARIA


การรักษาแบบไม่ใช้ยา

การกระตุ้นความจำและการรู้คิด

  • การฝึกความจำด้วยเกม ปริศนา การอ่าน
  • การบำบัดความจำและการฝึกใช้เหตุผล


กิจกรรมบำบัด

  • การบำบัดด้วยการทำงาน รักษาทักษะชีวิตประจำวัน
  • การบำบัดทางกายและการพูด รักษาความแข็งแรงและการสื่อสาร
  • ดนตรีและศิลปะบำบัด กระตุ้นความจำ ลดความเครียด
  • การออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น การเดิน หรือโยคะ

การดูแลตามระยะของโรค

ระยะเริ่มต้น

  • ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและครอบครัว
  • วางแผนล่วงหน้าด้านการเงินและกฎหมาย
  • ส่งเสริมความเป็นอิสระและปรับสิ่งแวดล้อม

ระยะกลาง

  • จัดกิจวัตรประจำวันที่มีโครงสร้าง
  • ดูแลความปลอดภัย ป้องกันการหกล้มและหลงทาง
  • จัดการพฤติกรรมท้าทาย

ระยะสุดท้าย

  • จัดการความเจ็บปวด ด้วยยาและเทคนิคไม่ใช้ยา
  • ป้องกันภาวะแทรกซ้อน การติดเชื้อ แผลกดทับ ปัญหาการกลืน
  • ดูแลทางอารมณ์ สร้างสภาพแวดล้อมอบอุ่น การสัมผัสอ่อนโยน

การป้องกันและการดูแลเชิงรุก

การตรวจสุขภาพเป็นประจำ

การตรวจสุขภาพประจำปีครอบคลุมการประเมินสภาพจิต การทำงานของสมอง และปัจจัยเสี่ยง รวมถึงการพิจารณาการตรวจอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมอื่น ๆ ผ่านเลือดในผู้มีความเสี่ยง

การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต

  • ควบคุมโรคเรื้อรังเช่นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
  • มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและทำกิจกรรมกระตุ้นสมอง

Dementia หรือภาวะสมองเสื่อมเป็นปัญหาสุขภาพที่ต้องการความเข้าใจและการเตรียมพร้อมจากทุกภาคส่วน การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ การตรวจหาสาเหตุเบื้องต้น และการดูแลรักษาที่เหมาะสมจะช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถจัดการกับโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การป้องกันโรคควรเริ่มต้นตั้งแต่วัยหนุ่มสาวด้วยการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม การควบคุมปัจจัยเสี่ยง และการสร้างสรรค์กิจกรรมที่กระตุ้นสมองอย่างสม่ำเสมอ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการเริ่มแรกของภาวะสมองเสื่อม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการดูแลรักษาที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด

บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทฯ ในเครือ BGI Genomics ที่ก่อตั้งในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ที่ได้รับมาตรฐาน ISO15189, ISO15190 และ ISO/IEC 27001:2022 จากสถาบันมาตรฐานอังกฤษ (BSI) ให้บริการตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรมที่ครอบคลุมในหลายด้าน ได้แก่

  • การตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมของทารกในครรภ์มารดา
  • การตรวจคัดกรองพาหะโรคทางพันธุกรรมสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตร หรือมีบุตรยาก
  • การตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนก่อมะเร็ง เพื่อหาตัวยาในการรักษาแบบเฉพาะบุคคล
  • การตรวจคัดกรองความเสี่ยงยีนก่อโรคการเกิดมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
  • การตรวจวิเคราะห์กลุ่มโรคติดเชื้อ รวมถึงมะเร็งปากมดลูกและ COVID-19
  • การตรวจวิเคราะห์พันธุกรรมเฉพาะบุคคลเพื่อวางแผนสุขภาพและชะลอวัย

ติดต่อเรา
โทร: 094 616 6878
อีเมล: marketing@bangkokgenomics.com
เว็บไซต์: https://www.bangkokgenomics.com
ที่อยู่: 3689 ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กทม. 10110
เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 8.30-17.30 น., เสาร์ 9.00-15.00 น.


บทความที่เกี่ยวข้อง
เจาะลึก 8 วิธีรักษาโรคมะเร็ง แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร
แนะนำ 8 วิธีการรักษาโรคมะเร็งแบบครอบคลุม ตั้งแต่วิธีการรักษาดั้งเดิมไปจนถึงวิธีการรักษาและเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เพื่อการรักษาโรคมะเร็งที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงสุด
Alzheimer's Disease: Understanding the Leading Cause of Dementia and Its Impact
Learn about Alzheimer's disease, why you get Alzheimer's, how it affects daily life, treatment options, and the relationship between dementia and brain degeneration.
มะเร็งระยะที่ 4 กับความหวังใหม่ในการรักษาและการดูแลแบบองค์รวม
มะเร็งระยะที่ 4 หรือมะเร็งระยะลุกลาม ต่างมีทางเลือกการรักษาที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยมีอายุที่ยืนยาว พร้อมกับคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy