ทำความรู้จักภาวะสมองเสื่อม (Dementia) ภัยเงียบของผู้สูงอายุ
ภาวะสมองเสื่อม หรือ dementia เป็นกลุ่มอาการทางระบบประสาทที่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว การทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะนี้อย่างถูกต้องจึงมีความสำคัญยิ่งต่อการป้องกัน การวินิจฉัย และการวางแผนดูแลรักษาที่เหมาะสม
เนื่องจากภาวะสมองเสื่อมไม่ใช่เพียงการหลงลืมตามธรรมชาติของวัย แต่เป็นความผิดปกติของการทำงานของสมองที่ต้องการการดูแลทางการแพทย์อย่างจริงจัง หากขาดการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม อาการอาจมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมในระยะยาว ดังนั้น การตรวจสุขภาพเป็นประจำและการเฝ้าระวังสัญญาณเตือนเบื้องต้นจึงเป็นกุญแจสำคัญในการตรวจพบสมองเสื่อมตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) คืออะไร
Dementia หรือภาวะสมองเสื่อม ไม่ใช่โรคจำเพาะเจาะจง แต่เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากความผิดปกติของสมองหลายรูปแบบ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อความสามารถในการคิด การตัดสินใจ พฤติกรรม และทักษะในการดำเนินชีวิตประจำวัน จนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตทางสังคมและการทำงาน เช่น ไม่สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยทำเป็นประจำ พูดจาติด ๆ ขัด ๆ หรือเริ่มมีการหลงลืม
โดยลักษณะสำคัญของภาวะสมองเสื่อม คือ การสูญเสียความสามารถในการรู้คิด (Cognitive Impairment) ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ซึ่งแพทย์จะวินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีภาวะ Dementia หากส่วนการรู้คิดสองส่วนหรือมากกว่านั้นมีความบกพร่องอย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น
- ความจำ: การสูญเสียความทรงจำ ทั้งความทรงจำระยะสั้นและระยะยาว
- ทักษะทางภาษา: ความยากลำบากในการพูด การเข้าใจภาษา และการอ่าน
- ความรู้ความเข้าใจ: การขาดความสามารถในการรับรู้และประมวลผลข้อมูล
- ทักษะด้านมิติสัมพันธ์: ปัญหาในการรับรู้ตำแหน่ง ระยะทาง และความสัมพันธ์ของวัตถุ
- การตัดสินใจ: มีความบกพร่องในการตัดสินใจและการวางแผน
- ความใส่ใจ: มีความยากลำบากในการจดจ่อและให้ความสนใจ
Cognitive Impairment คืออะไร เกี่ยวข้องกับ Dementia อย่างไร
ภาวะปริชานหรือการรู้คิดบกพร่องบกพร่อง หรือ Cognitive Impairment คือ ภาวะที่ความสามารถทางสมองด้านการคิด วิเคราะห์ ความจำ การใช้เหตุผล หรือการแก้ปัญหา ลดลงจากระดับปกติ โดยความบกพร่องนี้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันในระดับที่แตกต่างกันไป ภาวะการรู้คิดบกพร่องแบ่งเป็น MCI และ dementia โดย dementia จะมีผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน และอาจจัดความรุนแรงเป็นระยะ เล็กน้อย/ปานกลาง/รุนแรง ตามผลกระทบต่อการทำกิจวัตร
- Mild Cognitive Impairment (MCI): เป็นภาวะที่พบการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในความสามารถทางปัญญา แต่ผู้ป่วยยังสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วย MCI มีความเสี่ยงสูงที่จะพัฒนาไปสู่ภาวะ Dementia ในอนาคต
- Moderate Cognitive Impairment: เป็นระดับที่เริ่มประสบปัญหาในการทำกิจกรรมที่มีความซับซ้อน ความสามารถในการตัดสินใจเริ่มลดลง และอาจจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือในบางกิจกรรม
- Dementia หรือภาวะสมองเสื่อมระยะรุนแรง ผู้ป่วยจะสูญเสียความสามารถในการดูแลตนเองอย่างสมบูรณ์ และต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา
ภาวะ Dementia มีกี่ระยะ
ภาวะ Dementia มีกี่ระยะบ้างนั้น ทางองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้แบ่งภาวะสมองเสื่อมออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
- ระยะต้น (Mild Dementia)
ป่วยเริ่มมีอาการหลงลืมเล็กน้อย ความจำสั้น แต่ยังคงสามารถนึกถึงความทรงจำต่าง ๆ เช่น สถานที่ที่คุ้นเคย หรือชื่อคนรู้จักต่าง ๆ ได้ - ระยะกลาง (Moderate Dementia)
อาการเริ่มชัดเจน เริ่มหลงลืมเหตุการณ์สำคัญ หลงลืมชื่อคน หลงสถานที่ และเริ่มมีปัญหาด้านการสื่อสาร เช่น ถามคำถามเดิมซ้ำ ๆ นึกคำศัพท์ไม่ออก - สมองเสื่อมระยะสุดท้าย หรือระยะรุนแรง (Severe Dementia)
ผู้ป่วยมีความบกพร่องในความสามารถในการรู้คิดโดยสมบูรณ์ ไม่ทราบวันเวลา มีอาการหลงลืมสิ่งต่าง ๆ และมีพฤติกรรมด้านอารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ต้องพึ่งพาการดูแลอย่างใกล้ชิด
การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Wellness) ถือเป็นแนวทางสำคัญในการป้องกันหรือชะลอการเกิดภาวะบกพร่องทางความรู้ความสามารถ ซึ่งรวมถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การกระตุ้นสมองผ่านกิจกรรมต่าง ๆ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อสมองได้
ปัจจัยเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อม
การทำความเข้าใจปัจจัยเสี่ยงของภาวะ Dementia มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการป้องกัน การวินิจฉัยตั้งแต่เริ่มต้น และการดูแลผู้ป่วยอย่างเหมาะสม โดยปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ตามช่วงอายุ ลักษณะการเกิดโรค และปัจจัยอื่น ๆ ดังนี้
ปัจจัยเสี่ยงที่สามารถควบคุมได้
ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้เป็นสิ่งที่สามารถปรับเปลี่ยนหรือจัดการได้ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อม
- โรคเบาหวาน: ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงเรื้อรังสามารถทำลายหลอดเลือดในสมอง ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดและนำไปสู่ความเสื่อมของเซลล์สมอง
- ความดันโลหิตสูง: ความดันโลหิตที่ไม่ได้รับการควบคุมอาจสร้างความเสียหายต่อระบบไหลเวียนโลหิตในสมอง ทำให้เกิดภาวะขาดเลือดและเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม
- โรคหัวใจและหลอดเลือด: เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือโรคหลอดเลือดสมอง สามารถลดการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมอง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เซลล์สมองเสียหาย
- โรคอ้วน: ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน มักเกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรังและโรคเมแทบอลิซึมต่าง ๆ ซึ่งส่งผลเสียต่อสุขภาพสมอง
- การสูบบุหรี่: สารเคมีในบุหรี่มีฤทธิ์ทำลายหลอดเลือด ลดปริมาณออกซิเจนที่ไปเลี้ยงสมอง และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากและต่อเนื่อง สามารถสร้างความเสียหายโดยตรงต่อเนื้อเยื่อสมองได้
- ภาวะซึมเศร้า: ภาวะซึมเศร้าอาจเป็นทั้งสาเหตุและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับภาวะ Dementia
- การขาดการออกกำลังกาย: การไม่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ลดการไหลเวียนโลหิตและการเสริมสร้างเซลล์สมอง
- การขาดการกระตุ้นสมอง: การขาดกิจกรรมที่ท้าทายความคิดและการเรียนรู้ใหม่ ๆ อาจส่งผลเสียต่อการทำงานของสมองได้
ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้
ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่การตระหนักถึงความเสี่ยงเหล่านี้สามารถช่วยให้เราเตรียมพร้อมและดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม
- อายุ: ความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นชัดเจนตามอายุ โดย อัตราเกิดโรคมีแนวโน้มเพิ่มราวสองเท่าทุก 5 ปี นับจากอายุ 65 ปีขึ้นไป; ความชุกในวัย 85+ สูงขึ้นอย่างมาก
- พันธุกรรม: การมีประวัติครอบครัวที่เป็นอัลไซเมอร์หรือภาวะสมองเสื่อมอื่น ๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อม รวมถึงการกลายพันธุ์ของยีน APP, PSEN1, PSEN2 เป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์แต่เนิ่น ๆ (Early-onset Alzheimer's Disease)
ปัจจัยเสี่ยงในผู้สูงอายุ
ภาวะ Dementia ในผู้สูงอายุไม่ใช่ส่วนหนึ่งของกระบวนการเสื่อมตามอายุตามธรรมชาติ แต่เป็นผลจากโรคเฉพาะที่เกิดขึ้นในสมอง การทำความเข้าใจข้อแตกต่างนี้จะช่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับการตรวจสุขภาพและการขอความช่วยเหลือทางการแพทย์ โดยผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปีมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะสมองเสื่อมและความเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุก ๆ 5 ปีหลังจากอายุ 65 ปี จนถึงอายุ 85 ปีขึ้นไป ที่ความเสี่ยงอาจสูงถึง 25-30% ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในผู้สูงอายุ
ปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อยและสำคัญในกลุ่มผู้สูงอายุ ประกอบด้วย:
- โรคเรื้อรังที่ขาดการควบคุม เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ
- การใช้ชีวิตที่ไม่เอื้อต่อสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- ภาวะซึมเศร้าและสภาวะจิตใจที่ย่ำแย่
- การขาดการออกกำลังกายและกิจกรรมกระตุ้นสมอง
- ปัญหาการนอนหลับ ที่อาจส่งผลต่อการทำงานของสมองในระยะยาว
หลักฐานปี 2024 ชี้ว่าการจัดการ 14 ปัจจัยเสี่ยงที่แก้ไขได้ (ได้แก่ การศึกษาน้อย, หูตึง/การได้ยิน, การมองเห็นบกพร่อง, ความดันสูง, เบาหวาน, ไขมัน LDL สูงช่วงวัยกลางคน, โรคอ้วน, ซึมเศร้า, สูบบุหรี่, ไม่ออกกำลังกาย, แอลกอฮอล์มาก, การแยกตัวทางสังคม, มลพิษอากาศ, TBI) อาจ ป้องกันหรือชะลอ กรณีได้รวมราว 45% ทั้งช่วงชีวิต
ปัจจัยเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมในคนอายุต่ำกว่า 65
โรคความจำเสื่อมในคนอายุต่ำกว่า 65 เป็นภาวะที่พบได้ยาก แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน โดยเรียกว่า "Young-Onset Dementia" หรือภาวะสมองเสื่อมที่เกิดในวัยทำงาน หมายถึงการเกิดโรคในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 65 ปี โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใหญ่ตอนต้น โดยปัจจัยเสี่ยงส่วนใหญ่ มักเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม โดยเฉพาะการกลายพันธุ์ของยีนเฉพาะที่ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ในวัยเริ่มต้น และการบาดเจ็บของสมองที่เกิดขึ้นจากอุบัติเหตุและโรคอื่น ๆ เป็นต้น
Dementia มีกี่ประเภท
ภาวะสมองเสื่อม หรือ Dementia มีกี่ประเภทนั้น ทางการแพทย์ได้แบ่งประเภทของภาวะสมองเสื่อมตามสาเหตุและลักษณะการเกิดโรคต่าง ๆ ซึ่งมีประเภทหลัก ดังนี้
1. โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer's Disease): เป็นรูปแบบของ Dementia ที่พบมากที่สุด โดยคิดเป็นสองในสามของผู้ป่วยทั้งหมด มีลักษณะเฉพาะคือการมีแผ่นโปรตีนอมีลอยด์ (Amyloid Plaques) และโปรตีนเทา (Tau Protein) ที่ขัดขวางการสื่อสารของเซลล์ประสาทในสมอง
2. ภาวะสมองเสื่อมจากโรคหลอดเลือด (Vascular Dementia): เกิดจากการขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงในสมอง เช่น ภาวะหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก จนทำให้เซลล์ประสาทเสียหายและตายในที่สุด
3. โรคเลวีบอดี (Lewy Body Disease): มีลักษณะเด่นคือการมีเลวีบอดี (Lewy bodies) ซึ่งเป็นโปรตีน alpha-Synuclein ที่จับกันเป็นก้อนมากผิดปกติและลุกลามในเซลล์ประสาท จนทำให้เซลล์ประสาทเสียหายในที่สุด
4. ภาวะสมองเสื่อมบริเวณสมองส่วนหน้า (Frontotemporal Dementia): เกิดจากความเสียหายที่รุนแรงต่อสมองกลีบหน้า และ/หรือสมองกลีบขมับ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านบุคลิก พฤติกรรม และการใช้ภาษาในด้านต่าง ๆ
Dementia กับ Delirium ต่างกันอย่างไร
ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) และอาการสับสนเฉียบพลัน (Delirium) เป็นภาวะที่ส่งผลต่อการทำงานของสมองและทำให้เกิดความผิดปกติในการรับรู้ที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อการวินิจฉัยและการจัดการที่ถูกต้อง โดยทั้งสองอาการจะมีความแตกต่าง ดังนี้
ภาวะสมองเสื่อม (Dementia)
เป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากการสูญเสียความสามารถทางสติปัญญาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งส่งผลกระทบต่อความจำ การคิด การตัดสินใจ และพฤติกรรม โดยทั่วไปแล้ว ภาวะนี้เป็นความเสื่อมถอยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่สามารถฟื้นฟูได้ ผู้ป่วยมักมีอาการแย่ลงเมื่อเวลาผ่านไป และการสูญเสียความสามารถทางปัญญาจะค่อย ๆ รุนแรงขึ้น
อาการสับสนเฉียบพลัน (Delirium)
เป็นภาวะความสับสนที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเฉียบพลัน มักมีสาเหตุที่ชัดเจน เช่น การติดเชื้อ การผ่าตัด การได้รับยาบางชนิด หรือภาวะขาดน้ำ โดยอาการของ Delirium มีการเปลี่ยนแปลงความสนใจ/ความตื่นตัวแบบเฉียบพลันและผันผวน มักเกิดจากโรคกาย/ยา และสามารถหายได้เมื่อรักษาสาเหตุ
จากที่กล่าวไปนั้น จะเห็นว่า Delirium เป็นอาการที่มีสาเหตุที่ชัดเจนและมีโอกาสหายขาดที่สูงกว่า Dementia การแยกแยะทั้งสองภาวะอย่างถูกต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวางแผนการตรวจสุขภาพ การวินิจฉัย และการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถดำเนินการดูแลและจัดการกับภาวะเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดขึ้นในอนาคต
Dementia กับ Alzheimer ต่างกันอย่างไร
บางคนอาจยังมีความเข้าใจว่าภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์เป็นโรคเดียวกัน และอาจไม่ทราบว่า ภาวะ Dementia กับ Alzheimer ต่างกันอย่างไร หรือเป็นคนละโรคกันหรือไม่ แต่ความจริงแล้วโรคอัลไซเมอร์นั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ Dementia ไม่ใช่โรคที่แยกจากกัน เนื่องจาก
- Dementia เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มอาการของโรคต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการสูญเสียความสามารถทางสติปัญญา ในขณะที่โรคอัลไซเมอร์เป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะ Dementia ที่พบบ่อยที่สุด คิดเป็นประมาณ 60-80% ของผู้ป่วย Dementia ทั้งหมด
- โรคอัลไซเมอร์ อาการเริ่มต้นด้วยการสูญเสียความจำระยะสั้น ตามด้วยการเสื่อมของความสามารถอื่น ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วน Dementia ประเภทอื่น ๆ อาจมีอาการเริ่มต้นที่แตกต่างกัน เช่น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในกรณีของภาวะสมองเสื่อมบริเวณสมองส่วนหน้า
วิธีการดูแลรักษาผู้ป่วย Dementia และอัลไซเมอร์
การดูแลรักษาผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์ วิธีรักษาต้องอาศัยแนวทางการรักษาแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งการรักษาทางการแพทย์ การดูแลรอบด้าน และการสนับสนุนครอบครัว โดยเทคโนโลยีทางการแพทย์ปัจจุบันได้พัฒนาให้การตรวจวินิจฉัยและการติดตามผู้ป่วยมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีการตรวจสุขภาพเฉพาะทางที่ช่วยในการประเมินความเสี่ยงและวางแผนการดูแลผู้ป่วย Dementia และโรคอัลไซเมอร์ รักษาได้อย่างเหมาะสม
การตรวจวินิจฉัยและการคัดกรองในยุคปัจจุบัน
การตรวจอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมอื่น ๆ ผ่านเลือด
การตรวจอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมอื่น ๆ ผ่านเลือด บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) ได้พัฒนาบริการตรวจอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมอื่น ๆ ผ่านเลือด ด้วยเทคโนโลยี Single Molecular Immune Detection (SMID) ที่ตรวจวัดระดับโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับภาวะสมองเสื่อมได้อย่างแม่นยำ
ปัจจุบันมีการใช้ Blood-based biomarkers ที่สามารถตรวจโปรตีนสำคัญจากเลือด ประกอบด้วย Amyloid beta 42/40 (โปรตีนหลักที่สะสมในสมองผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์), ptau181 และ ptau217 (โปรตีนบ่งชี้การเสื่อมของเซลล์ประสาท), Neurofilament Light (โปรตีนที่แสดงความเสียหายเซลล์ประสาท), และ alpha-Synuclein (โปรตีนที่เกี่ยวข้องกับโรคพาร์กินสัน)
ข้อดีของการตรวจผ่านเลือด คือความสะดวก รวดเร็ว และมีความแม่นยำสูงกว่า 90% ให้ผลการตรวจภายใน 5-7 วันทำการ เหมาะสำหรับการตรวจคัดกรองในผู้ที่มีความเสี่ยงอาการบกพร่องทางรู้คิด
แนวทางการรักษาโรคอัลไซเมอร์และภาวะสมองเสื่อม
การรักษาด้วยยา
- ยากลุ่ม Cholinesterase Inhibitors: เพื่อชะลออาการของภาวะ Dementia
- ยาเมแมนทีน (Memantine): สำหรับระยะปานกลางถึงรุนแรง ควบคุมการทำงานของสารสื่อประสาทในสมอง
- ยาสำหรับอาการทางจิตเวช: สำหรับรักษาภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และอาการที่เกิดจากพฤติกรรมและจิตใจที่ผิดปกติ (BPSD)
นอกจากยากลุ่ม cholinesterase inhibitors/memantine ยังมี lecanemab (อนุมัติ 2023) และ donanemab (อนุมัติ 2024) สำหรับ ระยะต้น ที่ยืนยัน amyloid โดยต้องเฝ้าระวัง ARIA
การรักษาแบบไม่ใช้ยา
การกระตุ้นความจำและการรู้คิด
- การฝึกความจำด้วยเกม ปริศนา การอ่าน
- การบำบัดความจำและการฝึกใช้เหตุผล
กิจกรรมบำบัด
- การบำบัดด้วยการทำงาน รักษาทักษะชีวิตประจำวัน
- การบำบัดทางกายและการพูด รักษาความแข็งแรงและการสื่อสาร
- ดนตรีและศิลปะบำบัด กระตุ้นความจำ ลดความเครียด
- การออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น การเดิน หรือโยคะ
การดูแลตามระยะของโรค
ระยะเริ่มต้น
- ให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและครอบครัว
- วางแผนล่วงหน้าด้านการเงินและกฎหมาย
- ส่งเสริมความเป็นอิสระและปรับสิ่งแวดล้อม
ระยะกลาง
- จัดกิจวัตรประจำวันที่มีโครงสร้าง
- ดูแลความปลอดภัย ป้องกันการหกล้มและหลงทาง
- จัดการพฤติกรรมท้าทาย
ระยะสุดท้าย
- จัดการความเจ็บปวด ด้วยยาและเทคนิคไม่ใช้ยา
- ป้องกันภาวะแทรกซ้อน การติดเชื้อ แผลกดทับ ปัญหาการกลืน
- ดูแลทางอารมณ์ สร้างสภาพแวดล้อมอบอุ่น การสัมผัสอ่อนโยน
การป้องกันและการดูแลเชิงรุก
การตรวจสุขภาพเป็นประจำ
การตรวจสุขภาพประจำปีครอบคลุมการประเมินสภาพจิต การทำงานของสมอง และปัจจัยเสี่ยง รวมถึงการพิจารณาการตรวจอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมอื่น ๆ ผ่านเลือดในผู้มีความเสี่ยง
การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
- ควบคุมโรคเรื้อรังเช่นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและทำกิจกรรมกระตุ้นสมอง
Dementia หรือภาวะสมองเสื่อมเป็นปัญหาสุขภาพที่ต้องการความเข้าใจและการเตรียมพร้อมจากทุกภาคส่วน การทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ การตรวจหาสาเหตุเบื้องต้น และการดูแลรักษาที่เหมาะสมจะช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวสามารถจัดการกับโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การป้องกันโรคควรเริ่มต้นตั้งแต่วัยหนุ่มสาวด้วยการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม การควบคุมปัจจัยเสี่ยง และการสร้างสรรค์กิจกรรมที่กระตุ้นสมองอย่างสม่ำเสมอ หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการเริ่มแรกของภาวะสมองเสื่อม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและการดูแลรักษาที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด
บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทฯ ในเครือ BGI Genomics ที่ก่อตั้งในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ที่ได้รับมาตรฐาน ISO15189, ISO15190 และ ISO/IEC 27001:2022 จากสถาบันมาตรฐานอังกฤษ (BSI) ให้บริการตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรมที่ครอบคลุมในหลายด้าน ได้แก่
- การตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมของทารกในครรภ์มารดา
- การตรวจคัดกรองพาหะโรคทางพันธุกรรมสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตร หรือมีบุตรยาก
- การตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนก่อมะเร็ง เพื่อหาตัวยาในการรักษาแบบเฉพาะบุคคล
- การตรวจคัดกรองความเสี่ยงยีนก่อโรคการเกิดมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
- การตรวจวิเคราะห์กลุ่มโรคติดเชื้อ รวมถึงมะเร็งปากมดลูกและ COVID-19
- การตรวจวิเคราะห์พันธุกรรมเฉพาะบุคคลเพื่อวางแผนสุขภาพและชะลอวัย
ติดต่อเรา
โทร: 094 616 6878
อีเมล: marketing@bangkokgenomics.com
เว็บไซต์: https://www.bangkokgenomics.com
ที่อยู่: 3689 ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กทม. 10110
เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 8.30-17.30 น., เสาร์ 9.00-15.00 น.