แชร์

Minimal Residual Disease (MRD) คืออะไร สำคัญอย่างไรต่อการรักษาโรคมะเร็ง

778 ผู้เข้าชม

ในยุคของการแพทย์ที่ก้าวหน้า การรักษาโรคมะเร็งไม่ได้หยุดเพียงแค่การกำจัดเนื้องอกที่มองเห็นได้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการติดตามเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่ในร่างกายหลังการรักษา หรือที่เรียกว่า Minimal Residual Disease หรือ MRD ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการประเมินประสิทธิภาพการรักษา พยากรณ์โรค และวางแผนการรักษาต่อเนื่องสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคของการรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้าและการแพทย์แม่นยำที่ต้องการข้อมูลที่ละเอียดและแม่นยำในการติดตามผลการรักษา

 

What Does MRD Stand For - เอ็ม อาร์ ดี คืออะไร

MRD ย่อมาจากคำว่า Minimal residual disease  คือเซลล์มะเร็งจำนวนเล็กน้อยที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในร่างกายภายหลังการรักษา แม้ว่าผู้ป่วยจะดูเหมือนหายขาดแล้วก็ตาม เซลล์เหล่านี้มีจำนวนน้อยมากจนไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยการตรวจร่างกายทั่วไป เช่น การเอกซเรย์ หรือการตรวจเลือดแบบปกติ แต่สามารถตรวจพบได้ด้วยเทคนิคการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่มีความละเอียดสูง การตรวจ MRD จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการประเมินผลการรักษา คาดการณ์โอกาสกลับเป็นซ้ำของโรค และช่วยแพทย์วางแผนการรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย

โดยทางการแพทย์ (MRD full form in medical, MRD full form in hospital) Minimal Residual Disease หรือบางครั้งเรียกว่า Measurable Residual Disease ได้กลายเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการประเมินความลึกของการตอบสนองต่อการรักษา โดยเฉพาะในผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดและมะเร็งชนิดอื่น ๆ เนื่องจากเซลล์มะเร็งที่หลงเหลือเหล่านี้แม้จะมีจำนวนน้อย แต่ก็มีศักยภาพที่จะเติบโตและทำให้โรคมะเร็งนั้น ๆ กลับมาเป็นซ้ำได้ในอนาคต การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ MRD จึงเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาแผนการรักษาที่มีประสิทธิภาพและช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นหลังการรักษา

 

Tumor-informed MRD คืออะไร?

Tumor-informed MRD คือวิธีการตรวจ MRD โดยใช้ข้อมูลเฉพาะของ เนื้องอกของผู้ป่วยคนนั้น มาเป็นฐานวิเคราะห์ เช่น การตรวจ ctDNA (circulating tumor DNA) ที่จำเพาะกับ mutation ของมะเร็งในตัวบุคคลนั้นๆ

จุดเด่นของ Tumor-informed MRD:

  1. Personalized มากกว่า — วิเคราะห์จากเนื้อมะเร็งจากตัวผู้ป่วยเอง ทำให้แม่นยำและจำเพาะสูง
  2. ไวต่อการตรวจเจอการกลับมาเป็นซ้ำ —  สามารถตรวจพบการกลับมาของโรคก่อนแสดงอาการทางคลินิกได้หลายเดือน
  3. เหมาะกับการติดตามระยะยาว — ใช้เพียงเลือด ทำซ้ำได้บ่อย ไม่รบกวนผู้ป่วย ใช้เป็นตัวชี้วัดเพื่อหยุดยา หรือเปลี่ยนแผนการรักษาได้เร็วขึ้น

 

Minimal Residual Disease สำคัญอย่างไรกับการรักษา

การตรวจ Minimal Residual Disease มีบทบาทสำคัญหลายประการในการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ดังนี้

การประเมินประสิทธิภาพการรักษา

การตรวจ Minimal Residual Disease ช่วยให้แพทย์ประเมินได้ว่าการรักษาที่ให้กับผู้ป่วยมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด โดยผู้ป่วยที่มีผลตรวจ MRD negative หรือตรวจไม่พบเซลล์มะเร็งหลงเหลือ มักจะมีผลการรักษาที่ดีกว่า มีอัตราการรอดชีวิตที่ยาวนานขึ้น และมีโอกาสที่โรคจะกลับมาเป็นซ้ำน้อยลง แต่ในทางกลับกัน ผู้ป่วยที่มีผลตรวจ MRD positive หรือยังตรวจพบเซลล์มะเร็งหลงเหลืออยู่ อาจต้องการการรักษาที่เข้มข้นขึ้น เช่น การปลูกถ่ายไขกระดูก หรือการให้ยาเคมีบำบัดเพิ่มเติม

การพยากรณ์โรคและวางแผนการรักษาต่อเนื่อง

การติดตามผลการรักษาด้วยการตรวจมะเร็ง Minimal Residual Disease ยังช่วยให้แพทย์สามารถปรับเปลี่ยนแผนการรักษาได้ทันท่วงที หากตรวจพบว่ามีแนวโน้มที่โรคจะกลับมาเป็นซ้ำ นอกจากนี้ การตรวจ MRD ยังช่วยลดการรักษาที่ไม่จำเป็นในผู้ป่วยที่ตอบสนองต่อการรักษาได้ดี ซึ่งช่วยลดผลข้างเคียงจากการรักษาและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย การตรวจ MRD จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาโรคมะเร็งแบบเฉพาะบุคคลในยุคปัจจุบัน และเป็นข้อมูลที่ช่วยให้แพทย์ตัดสินใจเกี่ยวกับการให้การรักษาเสริมหรือการดูแลรักษาในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การปรับแผนการรักษาแบบเฉพาะบุคคล

การตรวจ MRD ช่วยให้แพทย์สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้าได้อย่างแม่นยำมากขึ้น การติดตาม MRD ร่วมกับการตรวจวิเคราะห์ยีนก่อโรคมะเร็งช่วยให้แพทย์สามารถปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย เช่น การเปลี่ยนยารักษาโรคมะเร็งหรือการเพิ่มทางเลือกอื่น ๆ ในการรักษา

 

MRD Cancer - ความสัมพันธ์ระหว่างโรคตกค้างน้อยที่สุดกับโรคมะเร็ง

Minimal Residual Disease มีความสัมพันธ์กับการพยากรณ์และการตัดสินใจในการรักษาโรคมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมะเร็งเม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ เช่น 

  • มะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน (ALL และ AML)
  • มะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรัง (CLL) 
  • โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดไมอิโลมา หรือเอ็มเอ็ม (Multiple Myeloma, MM)

การตรวจ MRD ยังสามารถใช้ในการตรวจหามะเร็งก้อนชนิดต่าง ๆ (Solid Tumors) เช่น

  • มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colon Cancer)
  • มะเร็งปอด (Lung Cancer)
  • มะเร็งเต้านม (Breast Cancer)
  • มะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate Cancer)
  • มะเร็งตับอ่อน (Pancreatic Cancer)
  • มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ (Bladder Cancer)
  • มะเร็งผิวหนังเมลาโนมา (Melanoma)

โดยการตรวจ Minimal Residual Disease จะใช้เทคนิคการตรวจ Circulating Tumor DNA (ctDNA) ด้วยวิธี Next-Generation Sequencing (NGS) เพื่อตรวจหาสารพันธุกรรมของเซลล์มะเร็งที่หลุดลอยออกมาในกระแสเลือด และสามารถใช้ติดตามการรักษาในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งชนิดอื่น ๆ ได้

การตรวจพบยีนก่อโรคมะเร็งผ่านการตรวจ MRD ยังช่วยให้แพทย์สามารถเลือกใช้ยามุ่งเป้าที่เหมาะสมกับลักษณะทางพันธุกรรมของมะเร็งในผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการรักษาแบบการแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine) ที่มุ่งเน้นการรักษาที่เฉพาะเจาะจงและเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละบุคคล

 

วิธีการตรวจ MRD Testing

การตรวจยีนหายารักษามะเร็งจาก Minimal Residual Disease นั้น จะมี 3 เทคนิคหลักที่ใช้ในปัจจุบัน โดยแต่ละวิธีมีความไวและความเหมาะสมแตกต่างกันไป ดังนี้

  1. Flow Cytometry: เป็นการใช้แสงเลเซอร์ในการวิเคราะห์คุณสมบัติของเซลล์ สามารถตรวจพบเซลล์มะเร็ง 1 เซลล์ในเซลล์ปกติ 10,000-100,000 เซลล์ เหมาะสำหรับการตรวจมะเร็งเม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ
  2. Polymerase Chain Reaction (PCR): เป็นการตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรมที่จำเพาะกับเซลล์มะเร็ง มีความละเอียดสูงถึง 1 เซลล์ในล้านเซลล์ เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ทราบความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ชัดเจน
  3. Next-Generation Sequencing (NGS): เป็นเทคโนโลยีที่สามารถวิเคราะห์ความผิดปกติทางพันธุกรรมได้หลายตำแหน่งพร้อมกัน สามารถรู้ผลได้อย่างรวดเร็วและสามารถตรวจยีนหายามุ่งเป้าได้อย่างแม่นยำ เหมาะสำหรับการติดตามการรักษาระยะยาว

โดยขั้นตอนการเก็บตัวอย่างสำหรับการตรวจ MRD อาจทำได้โดยการเจาะเลือดหรือการเจาะไขกระดูก ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งและวิธีการตรวจ การเจาะไขกระดูกแม้จะให้ผลที่แม่นยำกว่า แต่ก็มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก และมีความเสี่ยงมากกว่าสำหรับผู้เข้ารับการตรวจ เมื่อเทียบกับการเจาะเลือดที่สะดวกสบาย ง่ายและเจ็บน้อยกว่า โดยเฉพาะสำหรับการติดตามผลการรักษาในระยะยาว

 

ข้อดีของการตรวจ Minimal Residual Disease

การตรวจ Minimal Residual Disease มีประโยชน์อย่างมากต่อการดูแลสุขภาพผู้ป่วย โดยเฉพาะในแง่ของการตรวจสุขภาพและการติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด

  • การพยากรณ์โรคที่แม่นยำขึ้น: ข้อมูลการตรวจ Minimal Residual Disease นี้ช่วยให้แพทย์สามารถประเมินผู้ป่วยและช่วยให้ผู้ป่วยสามารถวางแผนชีวิตได้ดีขึ้น ทำให้มีอัตราการรอดชีวิตที่สูงกว่าและมีโอกาสหายขาดจากโรคมะเร็งที่สูงขึ้น
  • การปรับแผนการรักษาให้เหมาะสม: แพทย์สามารถเพิ่มหรือลดระดับของการรักษาตามผลการตรวจ Minimal Residual Disease ซึ่งจะช่วยลดผลข้างเคียงที่ไม่จำเป็นและเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาให้ดีขึ้น
  • ตรวจพบการกลับเป็นซ้ำได้เร็วขึ้น: การตรวจ MRD สามารถตรวจพบการกลับมาของโรคได้ก่อนที่จะแสดงอาการอีกครั้ง ทำให้สามารถเริ่มการรักษาได้ทันท่วงทีโดยที่ไม่จำเป็นต้องรอให้มีอาการที่ชัดเจน
  • การสนับสนุนแนวคิดการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (wellness): การติดตามผลสุขภาพด้วย MRD เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดความกังวลเกี่ยวกับการกลับเป็นซ้ำของโรค และสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมั่นคงและมีความสุข

 

บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) มีบริการตรวจ OncoPress ที่ใช้เทคโนโลยี NGS ขั้นสูงในการตรวจ MRD โดยแพ็กเกจ OncoPress Monitoring สามารถติดตามการกลับเป็นซ้ำของโรคได้อย่างแม่นยำ ใช้เวลาเพียง 13 วันทำการ เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังมีบริการ OncoPress Premium ที่ตรวจวิเคราะห์ยีนถึง 1,021 ยีน ครอบคลุมการกลายพันธุ์ของยีนหลายรูปแบบ เพื่ออ้างอิงในการรักษาที่เหมาะสมที่สุด

ในกรณีของผู้ที่ไม่เคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง จะไม่แนะนำให้เข้ารับการตรวจดังกล่าว เนื่องจากการตรวจ OncoPress ถูกออกแบบมาสำหรับผู้ที่ได้วินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งแล้วเท่านั้น หากต้องการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ขอแนะนำบริการตรวจคัดกรองมะเร็ง SENTIS Hereditary Cancer Screening สำหรับผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งโดยเฉพาะ

การตรวจ Minimal Residual Disease เป็นความก้าวหน้าสำคัญในการรักษามะเร็งยุคใหม่ ช่วยให้แพทย์สามารถประเมินผลการรักษา คาดการณ์โอกาสกลับเป็นซ้ำ วางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำและเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย เพราะการตรวจ MRD ไม่เพียงแต่จะช่วยในการรักษาเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่จะทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

 

 

บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทฯ ในเครือ BGI Genomics ที่ก่อตั้งในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ที่ได้รับมาตรฐาน ISO15189, ISO15190 และ ISO/IEC 27001:2022 จากสถาบันมาตรฐานอังกฤษ (BSI) ให้บริการตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรมที่ครอบคลุมในหลายด้าน ได้แก่

  • การตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมของทารกในครรภ์มารดา
  • การตรวจคัดกรองพาหะโรคทางพันธุกรรมสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตร หรือมีบุตรยาก
  • การตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนก่อมะเร็ง เพื่อหาตัวยาในการรักษาแบบเฉพาะบุคคล
  • การตรวจคัดกรองความเสี่ยงยีนก่อโรคการเกิดมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
  • การตรวจวิเคราะห์กลุ่มโรคติดเชื้อ รวมถึงมะเร็งปากมดลูกและ COVID-19
  • การตรวจวิเคราะห์พันธุกรรมเฉพาะบุคคลเพื่อวางแผนสุขภาพและชะลอวัย


ติดต่อเรา
โทร: 094 616 6878
อีเมล: marketing@bangkokgenomics.com
เว็บไซต์: https://www.bangkokgenomics.com
ที่อยู่: 3689 ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กทม. 10110
เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 8.30-17.30 น., เสาร์ 9.00-15.00 น.


บทความที่เกี่ยวข้อง
เจาะลึก 8 วิธีรักษาโรคมะเร็ง แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร
แนะนำ 8 วิธีการรักษาโรคมะเร็งแบบครอบคลุม ตั้งแต่วิธีการรักษาดั้งเดิมไปจนถึงวิธีการรักษาและเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เพื่อการรักษาโรคมะเร็งที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงสุด
ทำความรู้จักภาวะสมองเสื่อม (Dementia) ภัยเงียบของผู้สูงอายุ
ภาวะสมองเสื่อมไม่ใช่เพียงการหลงลืมตามธรรมชาติของวัย แต่เป็นความผิดปกติของการทำงานของสมองที่ต้องการการดูแลทางการแพทย์อย่างจริงจัง มาทำความรู้จักภาวะสมองเสื่อมให้มากขึ้น
Alzheimer's Disease: Understanding the Leading Cause of Dementia and Its Impact
Learn about Alzheimer's disease, why you get Alzheimer's, how it affects daily life, treatment options, and the relationship between dementia and brain degeneration.
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy