การรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า: รักษา “ตรงจุด”

การพัฒนาทางการแพทย์ปัจจุบันได้นำมาซึ่งนวัตกรรมการรักษาโรคมะเร็งที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยหนึ่งในความก้าวหน้าที่สำคัญ คือ การรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) เป็นการใช้ยา/ชีววัตถุที่ออกฤทธิ์กับโมเลกุลหรือสัญญาณจำเพาะซึ่งเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตและการกระจายของเซลล์มะเร็ง จัดเป็นรากฐานสำคัญของการแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine) ในมะเร็งวิทยา จุดเด่นคือ ความจำเพาะของเป้าหมาย ซึ่งอาจช่วยควบคุมโรคได้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับวิธีดั้งเดิมในผู้ป่วยบางราย อย่างไรก็ดี ประสิทธิผลมักขึ้นอยู่กับชนิดมะเร็ง ชนิดการกลายพันธุ์ และบริบทการรักษารวม (เช่น การผ่าตัด/คีโม/รังสี) แพทย์จึงต้องประเมินแบบรายบุคคลเสมอ ดังนั้นการตรวจมะเร็ง การตรวจหายีนมะเร็งเพื่อค้นหายีนกลายพันธุ์ในผู้ป่วยมะเร็งที่สามารถใช้เป็นเป้าหมายในการรักษา ทำให้สามารถเลือกใช้ยาสำหรับรักษามะเร็งที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
ในบทความนี้ จะพาทุกท่านมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้าให้มากขึ้น ทั้งความหมาย หลักการรักษา ประเภทของยามุ่งเป้ามะเร็ง ความแตกต่างจากการรักษาแบบอื่น ผลข้างเคียงยามุ่งเป้า รวมถึงบทบาทสำคัญของการตรวจยีนหายามุ่งเป้าในการวางแผนการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
การรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า คืออะไร?
การรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) เป็นแนวทางการรักษาโรคมะเร็งที่ใช้ยาเฉพาะทาง ซึ่งออกแบบมาให้ ออกฤทธิ์กับกลไกหรือโปรตีนจำเพาะ ที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยไม่กระทบต่อเซลล์ปกติมากเกินไป
ยามุ่งเป้าไม่ได้ ฆ่า เซลล์มะเร็งโดยตรงเหมือนยาเคมีบำบัด แต่จะ ยับยั้งการส่งสัญญาณ ที่ทำให้เซลล์มะเร็งแบ่งตัวหรืออยู่รอด ทำให้การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งช้าลง และช่วยควบคุมโรคได้ในบางกรณี ทั้งนี้ ประสิทธิผลของการรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง การกลายพันธุ์ของยีน และการตอบสนองของผู้ป่วยแต่ละราย
โดยทั่วไป การรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้าจะทำให้ผู้ป่วยบางรายมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยวิธีการรักษาโรคมะเร็งอื่น ๆ เช่น เคมีบำบัดในบางระยะของโรค อย่างไรก็ตาม การรักษาก็ยังคงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และไม่สามารถใช้แทนวิธีการรักษามาตรฐานทั้งหมดได้
หลักการทำงานของการรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า
การรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) ตั้งอยู่บนแนวคิดของการแพทย์เฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) และการแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine) ซึ่งเน้นการรักษาโดยอ้างอิงข้อมูลทางพันธุกรรมของผู้ป่วยแต่ละราย แทนที่จะใช้วิธีเดียวกันกับผู้ป่วยทุกคนที่เป็นมะเร็งชนิดเดียวกัน
โดยแนวคิดนี้ มาจากความเข้าใจว่า มะเร็งแต่ละชนิดมีรหัสพันธุกรรมเฉพาะตัว การกลายพันธุ์ของยีนบางชนิดอาจเป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งแบ่งตัวไม่หยุด และการระบุยีนเหล่านี้ช่วยให้แพทย์สามารถเลือกใช้ยาที่ตรงกับกลไกของโรคได้มากขึ้น
ยามุ่งเป้าจึงทำงานโดย ขัดขวางจุดอ่อนเฉพาะของเซลล์มะเร็ง ผ่านกลไกสำคัญหลายประการ เช่น
- การยับยั้งสัญญาณการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง (Signal inhibition):
ยาจะจับกับโปรตีนหรือตัวรับสัญญาณบนผิวเซลล์ เช่น EGFR หรือ HER2 เพื่อหยุดการส่งสัญญาณที่กระตุ้นให้เซลล์มะเร็งแบ่งตัวต่อเนื่อง - การยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่ (Anti-angiogenesis):
ยาจะขัดขวางการสร้างหลอดเลือดที่มาเลี้ยงก้อนมะเร็ง ทำให้เนื้องอกได้รับสารอาหารลดลงและชะลอการเจริญเติบโต - การเสริมฤทธิ์ของภูมิคุ้มกัน (Immune modulation):
ยามุ่งเป้าบางชนิดช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันตรวจจับและกำจัดเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น - การนำสารออกฤทธิ์เข้าสู่เซลล์มะเร็งโดยตรง (Targeted drug delivery):
บางยาถูกออกแบบให้จับกับโปรตีนจำเพาะบนเซลล์มะเร็งเพื่อนำยาเคมีบำบัดหรือสารพิษไปออกฤทธิ์เฉพาะในจุดนั้น
กลไกเหล่านี้ช่วยให้การรักษามะเร็งสามารถ มุ่งเป้า ได้แม่นยำขึ้น ลดผลกระทบต่อเซลล์ปกติในร่างกาย อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ผู้ป่วยทุกรายที่เหมาะกับยามุ่งเป้า การตรวจหายีนกลายพันธุ์และการประเมินโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญยังคงเป็นขั้นตอนสำคัญก่อนเริ่มการรักษา
การตรวจยีนมะเร็ง มีบทบาทสำคัญในการวางแผนการรักษาแบบมุ่งเป้า เพราะช่วยให้แพทย์ทราบว่าผู้ป่วยมียีนกลายพันธุ์ใดที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง และสามารถเลือกใช้ยาที่ออกฤทธิ์กับยีนหรือโปรตีนเป้าหมายนั้นได้อย่างเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ผู้ป่วยมะเร็งทุกคนที่จะมียีนกลายพันธุ์ที่ ตอบสนอง ต่อการรักษาแบบมุ่งเป้าได้เสมอไป การตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรมจึงเป็นขั้นตอนสำคัญ เพื่อคัดกรองหากลุ่มผู้ป่วยที่มีโอกาสได้รับประโยชน์สูงสุดจากการรักษาประเภทนี้
รูปแบบของยีนกลายพันธุ์ในผู้ป่วยมะเร็งที่พบได้บ่อยและยามุ่งเป้าที่เกี่ยวข้อง
- EGFR (Epidermal Growth Factor Receptor): พบในผู้ป่วยมะเร็งปอด ชนิด nonsmall cell lung cancer (NSCLC) บางราย ทำให้เซลล์มะเร็งแบ่งตัวรวดเร็ว
- ยาที่มักใช้ในกลุ่มนี้ ได้แก่ Osimertinib หรือ Gefitinib ซึ่งยับยั้งการทำงานของโปรตีน EGFR ที่กลายพันธุ์
- HER2 (Human Epidermal Growth Factor Receptor 2): พบในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม และมะเร็งกระเพาะอาหารบางราย
- ยาที่ใช้รักษา เช่น Trastuzumab ซึ่งออกฤทธิ์จับกับโปรตีน HER2 เพื่อยับยั้งการส่งสัญญาณการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
- BRAF (vRaf murine sarcoma viral oncogene homolog B1): พบในผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา รวมถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่บางส่วน
- ยาที่เกี่ยวข้อง เช่น Vemurafenib หรือ Dabrafenib ที่ช่วยยับยั้งโปรตีน BRAF ที่กลายพันธุ์ (โดยเฉพาะ V600E)
* การเลือกใช้ยามุ่งเป้าแต่ละชนิดต้องอิงจากผลการตรวจยีนและแนวทางของแพทย์ตามมาตรฐานสากล เช่น NCCN หรือ ESMO
ยามุ่งเป้ามีกี่ประเภท
ยามุ่งเป้าสำหรับการรักษาโรคมะเร็งสามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ได้แก่
ยามุ่งเป้าแบบกิน (Oral Targeted Therapy)
ยามุ่งเป้าแบบกินเป็นยาในรูปแบบเม็ดหรือแคปซูลสำหรับรับประทาน ซึ่งเป็นกลุ่มยาโมเลกุลขนาดเล็ก (Small-molecule drugs) ที่สามารถเข้าสู่เซลล์ได้โดยตรง ทำให้ผู้ป่วยสามารถทานได้เองที่บ้าน ไม่จำเป็นต้องเดินทางมารักษาที่โรงพยาบาล ภายใต้การติดตามของแพทย์อย่างต่อเนื่อง ระยะเวลาการใช้ยาแตกต่างกันไปตามชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค และการตอบสนองของผู้ป่วย
- ตัวอย่างยามุ่งเป้าแบบกิน เช่น Osimertinib, Gefitinib, Erlotinib
ยามุ่งเป้าแบบฉีด (Injectable/IV Targeted Therapy)
ยามุ่งเป้าแบบฉีดเป็นยาในกลุ่มโมโนโคลนอลแอนติบอดี้ (Monoclonal antibodies) ซึ่งเป็นโปรตีนขนาดใหญ่ที่สามารถถูกย่อยในระบบทางเดินอาหารได้ จึงต้องมีการให้ยาดังกล่าวผ่านการฉีดเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์และมีประสิทธิภาพที่สุด
ตัวอย่างยามุ่งเป้าแบบฉีด เช่น
- Trastuzumab ใช้ในมะเร็งเต้านม / กระเพาะอาหารที่แสดง HER2 สูง
- Bevacizumab ใช้ยับยั้งการสร้างหลอดเลือดใหม่ของก้อนมะเร็ง
การเลือกรูปแบบยาที่เหมาะสม
การเลือกรูปแบบยาที่เหมาะสมสำหรับการรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้านั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ อาทิ
- ชนิดและระยะของมะเร็ง
- การกลายพันธุ์ที่พบ
- สภาพร่างกายและโรคประจำตัวของผู้ป่วย
- ความสะดวกในการเข้ารับการรักษา
- ความพร้อมและการเข้าถึงบริการทางการแพทย์
โดยแพทย์จะพิจารณาจากข้อมูลผลตรวจของผู้ป่วยแต่ละราย เพื่อวางแผนการรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้าที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุด
การรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า ต่างจากเคมีบำบัดอย่างไร
หลายคนอาจสงสัยว่าทั้ง "ยามุ่งเป้า" และ "ยาเคมีบำบัด" ต่างก็เป็นการใช้ยาเพื่อยับยั้งหรือทำลายเซลล์มะเร็ง แล้วทั้งสองวิธีนี้ต่างกันอย่างไร
ในความเป็นจริง ทั้งสองแนวทางมี "จุดมุ่งหมายเดียวกัน" คือ การควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง แต่ แตกต่างกันในระดับของกลไกการออกฤทธิ์และความจำเพาะต่อเซลล์มะเร็ง
ความแตกต่างในกลไกการทำงาน
ยามุ่งเป้า
ยามุ่งเป้าออกแบบมาเพื่อยับยั้งโปรตีนหรือยีนกลายพันธุ์เฉพาะ ที่มีบทบาทในการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ยาจะออกฤทธิ์เจาะจงต่อกลไกที่เป็น จุดอ่อน ของมะเร็งชนิดนั้น ๆ
โดยก่อนเริ่มการรักษา แพทย์จำเป็นต้องทำการตรวจยีน (Genetic Testing) เพื่อระบุว่าผู้ป่วยมียีนกลายพันธุ์ที่ตรงกับยามุ่งเป้าหรือไม่
เนื่องจากยามุ่งเป้ามีความจำเพาะสูง ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นมัก "เฉพาะเจาะจงตามชนิดของยา" เช่น ผื่นผิวหนัง ความดันโลหิตสูง หรือท้องเสีย แต่โดยทั่วไปมักรุนแรงน้อยกว่าเคมีบำบัด
เคมีบำบัด
ยาเคมีบำบัดจะออกฤทธิ์ต่อเซลล์ที่แบ่งตัวเร็วทุกชนิด ไม่เฉพาะกับเซลล์มะเร็งเท่านั้น จึงอาจกระทบต่อเซลล์ปกติ เช่น เซลล์รากผม เซลล์เยื่อบุลำไส้ หรือเซลล์เม็ดเลือด ส่งผลให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ผมร่วง คลื่นไส้ เม็ดเลือดต่ำ และอ่อนเพลีย
ถึงแม้ผลข้างเคียงจะมากกว่า แต่เคมีบำบัดยังคงมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ไม่มียีนกลายพันธุ์ที่ตอบสนองต่อยามุ่งเป้า หรือใช้ร่วมกับยามุ่งเป้าเพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการรักษา
สรุปในภาพรวม:
- การรักษาแบบมุ่งเป้าเหมาะกับผู้ป่วยที่ตรวจพบการกลายพันธุ์ของยีนที่มียาออกฤทธิ์เฉพาะ
- เคมีบำบัดยังเป็นพื้นฐานการรักษาที่สำคัญ โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีตัวบ่งชี้ทางพันธุกรรมที่ใช้ยามุ่งเป้าได้
ผลข้างเคียงยามุ่งเป้า มีอะไรบ้าง
แม้ว่าผลข้างเคียงยามุ่งเป้าจะน้อยกว่าเคมีบำบัด แต่ผู้ป่วยอาจพบอาการข้างเคียงบางอย่างขึ้นอยู่กับชนิดของยาและการตอบสนองของร่างกาย โดยผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่
- มีผื่นแดง ผิวแห้ง คันตามร่างกาย
- มีอาการท้องเสีย หรืออาจมีอาการท้องผูก คลื่นไส้และอาเจียน
- ความดันโลหิตสูง หรือมีปัญหาเส้นเลือดอุดตัน แผลหายช้า
- อ่อนเพลียง่าย
- แผลในปาก หรือเยื่อบุช่องปากอักเสบ
- เล็บอาจแตกหักง่าย เส้นผมหลุดร่วง หรือมีอาการเล็บและเส้นผมเปลี่ยนสี
การติดตามและรายงานอาการต่อแพทย์อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถปรับแผนการรักษาได้อย่างปลอดภัย
ผู้ป่วยกลุ่มใดที่สามารถเข้ารับการรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า
- ผู้ป่วยที่ตรวจพบยีนกลายพันธุ์หรือโปรตีนจำเพาะที่มียาออกฤทธิ์ได้ตรงจุด
- ผู้ที่อยู่ในระยะของโรคซึ่งสามารถใช้ยามุ่งเป้าร่วมกับวิธีอื่น เช่น เคมีบำบัดหรือรังสีรักษา
บทบาทของการตรวจยีนหายามุ่งเป้า ในการวางแผนการรักษา
การตรวจยีนหายามุ่งเป้า (Molecular Profiling หรือ Genetic Testing for Targeted Therapy) เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้การรักษามะเร็งมีความเฉพาะบุคคลมากขึ้น เพราะช่วยระบุว่าผู้ป่วยมียีนกลายพันธุ์หรือความผิดปกติทางโมเลกุลใดที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็ง และสามารถใช้เป็น เป้าหมาย ของการรักษาได้หรือไม่
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การตรวจยีนคือ จุดเริ่มต้นของการแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine) ที่เชื่อมโยงระหว่าง พันธุกรรมของมะเร็ง กับ ยาที่ออกฤทธิ์ตรงจุด หากไม่พบการกลายพันธุ์ที่มียามุ่งเป้าออกฤทธิ์ได้ การใช้ยานั้นอาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ และอาจทำให้ผู้ป่วยเสียโอกาสในการเลือกวิธีการรักษาอื่นที่เหมาะสมกว่าในเวลานั้น
นอกจากช่วยระบุเป้าหมายทางยาแล้ว การตรวจยีนมะเร็งยังช่วย
- ประเมินโอกาสการตอบสนองต่อยา (Drug Response Prediction)
- คาดการณ์ภาวะดื้อยาในอนาคต (Drug Resistance Monitoring)
- เลือกแนวทางรักษาที่มีโอกาสได้ผลดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
การใช้เทคโนโลยีการตรวจยีนที่ทันสมัยในปัจจุบัน เช่น การตรวจรหัสทางพันธุกรรมแบบครอบคลุม (Comprehensive Genetic Testing) ด้วยเทคโนโลยี Next Generation Sequencing (NGS) ซึ่งสามารถวิเคราะห์ลำดับพันธุกรรมของยีนหลายร้อยถึงหลายพันยีนได้ในครั้งเดียว สามารถค้นหาความผิดปกติหลายรูปแบบในเวลาเดียวกัน เช่น
- การกลายพันธุ์ของเบส (Single Nucleotide Variant, SNV)
- การแทรกหรือลบของลำดับพันธุกรรม (Indel)
- การเปลี่ยนแปลงจำนวนสำเนายีน (Copy Number Variation, CNV)
- การรวมตัวของยีนผิดปกติ (Fusion / Rearrangement)
- ดัชนีความไม่เสถียรของไมโครแซทเทลไลต์ (MSI)
- ภาระการกลายพันธุ์ในระดับจีโนม (TMB)
การตรวจยีนหายามุ่งเป้าไม่เพียงช่วยให้แพทย์เลือกยาที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการ "วางแผนการรักษาเฉพาะบุคคล" อย่างรอบด้าน เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ตรงกับกลไกของโรค และลดความเสี่ยงจากการใช้ยาที่อาจไม่ได้ผลในรายนั้น ๆ
ข้อมูลนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้ทางการแพทย์ทั่วไป ไม่ใช่คำแนะนำเฉพาะบุคคล ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนการตรวจและการรักษาที่เหมาะสมกับตนเอง
แพ็กเกจตรวจยีนกลายพันธุ์ OncoPress
การตรวจยีนหายามุ่งเป้าเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการวางแผนการรักษาที่แม่นยำ Bangkok Genomics Innovation มีบริการตรวจยีนสำหรับผู้ป่วยมะเร็งผ่านแพ็กเกจ OncoPress ซึ่งมี 2 แพ็กเกจหลัก คือ
- OncoPress Key: ตรวจ 188 ยีน ครอบคลุมการกลายพันธุ์ประเภท SNV, InDel, CNV, Fusion/Rearrangement, MSI และ HRR เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ต้องการตรวจหายีนกลายพันธุ์ที่พบบ่อยในมะเร็ง
- OncoPress Premium: ตรวจ 1,021 ยีน ครอบคลุมการกลายพันธุ์ประเภท SNV, InDel, CNV, Fusion/Rearrangement, MSI, TMB, HRR และตัวบ่งชี้ทางชีวภาพอื่น ๆ อีกกว่า 30 รายการ
การตรวจด้วย OncoPress ใช้เทคโนโลยี Next Generation Sequencing (NGS) ที่มีความแม่นยำสูง สามารถตรวจวิเคราะห์ยีนที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งได้หลากหลาย และครอบคลุมการกลายพันธุ์ของยีนได้หลายประเภท เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับยีนกลายพันธุ์ที่มี และช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม
นอกจากนี้ Bangkok Genomics Innovation ยังมีบริการ OncoPress Monitoring สำหรับติดตามการกลายพันธุ์ของยีนในเซลล์มะเร็งที่หลงเหลือหลังการรักษา (Minimal Residual Disease: MRD) เพื่อเฝ้าระวังการกลับมาเป็นซ้ำของโรค เพื่อการดูแลร่างกายที่ครอบคลุม และสามารถดำเนินการรักษาได้อย่างทันท่วงที
การรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้าถือเป็นนวัตกรรมที่สำคัญในการรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบัน ด้วยแนวคิดที่มุ่งเน้นการรักษาอย่างจำเพาะต่อกลไกของโรค ช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาที่สอดคล้องกับลักษณะทางพันธุกรรมของผู้ป่วยได้มากขึ้น การรักษาประเภทนี้มีจุดเด่นคือ ความจำเพาะต่อยีนกลายพันธุ์ในผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งอาจช่วยลดผลกระทบต่อเซลล์ปกติและส่งผลให้ผู้ป่วยบางรายมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นระหว่างการรักษา อย่างไรก็ตาม ประสิทธิผลของการรักษาจะขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง การกลายพันธุ์ของยีน และการตอบสนองของร่างกายในแต่ละบุคคล
สิ่งสำคัญที่สุดของการรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า คือ การวินิจฉัยที่ถูกต้องและการตรวจยีนอย่างแม่นยำ เพื่อระบุยีนกลายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับโรค และช่วยให้แพทย์สามารถเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายได้อย่างมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์

บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทฯ ในเครือ BGI Genomics ที่ก่อตั้งในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ที่ได้รับมาตรฐาน ISO15189, ISO15190 และ ISO/IEC 27001:2022 จากสถาบันมาตรฐานอังกฤษ (BSI) ให้บริการตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรมที่ครอบคลุมในหลายด้าน ได้แก่
- การตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมของทารกในครรภ์มารดา
- การตรวจคัดกรองพาหะโรคทางพันธุกรรมสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตร หรือมีบุตรยาก
- การตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนก่อมะเร็ง เพื่อยาในการรักษาแบบเฉพาะบุคคล
- การตรวจคัดกรองความเสี่ยงยีนก่อโรคการเกิดมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
- การตรวจวิเคราะห์พันธุกรรมเฉพาะบุคคลเพื่อวางแผนสุขภาพและชะลอวัย
ติดต่อเรา
โทร: 094 616 6878
อีเมล: marketing@bangkokgenomics.com
เว็บไซต์: https://www.bangkokgenomics.com
ที่อยู่: 3689 ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กทม. 10110
เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 8.30-17.30 น., เสาร์ 9.00-15.00 น.


