แชร์

เจาะลึก 8 วิธีรักษาโรคมะเร็ง แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร

49 ผู้เข้าชม

การรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบันมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ผู้ป่วยมะเร็งมีโอกาสรอดชีวิตยาวนานขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยสำคัญ ได้แก่ ชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย ตลอดจนการตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนที่อาจมีผลต่อการตอบสนองต่อการรักษา

กระบวนการรักษามะเร็งมักเริ่มต้นด้วยการวินิจฉัยอย่างละเอียด โดยใช้การตรวจทางพยาธิวิทยาและการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่มีข้อบ่งชี้ แพทย์อาจพิจารณาการตรวจรหัสพันธุกรรมแบบครอบคลุม (Comprehensive Genomic Profiling: CGP) เพื่อวิเคราะห์ลักษณะทางพันธุกรรมและโมเลกุลเฉพาะของมะเร็ง ซึ่งข้อมูลดังกล่าวมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการกำหนดแผนการรักษาที่แม่นยำและเฉพาะบุคคล และถูกนำมาใช้มากขึ้นในกรณีที่มะเร็งมีความซับซ้อนหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบดั้งเดิม

ในบทความนี้ จะนำเสนอวิธีการรักษามะเร็งที่หลากหลาย ตั้งแต่แนวทางดั้งเดิม เช่น การผ่าตัด การฉายรังสี และเคมีบำบัด ไปจนถึงแนวทางที่พัฒนาขึ้นใหม่ เช่น การรักษาแบบกำหนดเป้าหมาย (Targeted Therapy) การบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy) และการใช้ข้อมูลทางพันธุกรรมและโมเลกุลเพื่อการแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine) ทั้งนี้เพื่อสะท้อนถึงความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และโอกาสในการเพิ่มประสิทธิผลการรักษา รวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งในระยะยาว

1. การรักษาด้วยการผ่าตัด (Surgery)

การผ่าตัดถือเป็นวิธีการรักษาโรคมะเร็งที่อยู่เฉพาะที่ โดยมีเป้าหมายในการตัดก้อนมะเร็งและเนื้อเยื่อรอบ ๆ ออก เพื่อลดหรือกำจัดเซลล์มะเร็งออกจากร่างกายให้มากที่สุด นิยมใช้ในการรักษาโรคมะเร็งระยะแรกที่ยังไม่มีการลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ โดยมะเร็งชนิดที่ใช้การรักษาด้วยการผ่าตัด เช่น มะเร็งตับ มะเร็งศีรษะและคอ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่หรือมดลูก มะเร็งเต้านม และการผ่าตัดก้อนมะเร็งที่สมอง เป็นต้น

ในปัจจุบัน การรักษาโรคมะเร็งมีเทคนิคการผ่าตัดที่ทันสมัยหลายแบบ เช่น การผ่าตัดแบบส่องกล้อง (Laparoscopic Surgery) การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ (Robotic Surgery) และการผ่าตัดแบบรุกล้ำน้อย (Minimally Invasive Surgery) เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียหรือเสียหายต่ออวัยวะ หรือมีแผลผ่าตัดขนาดเล็กที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายที่น้อยลง

ข้อดี:

  • มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดเนื้องอกขนาดใหญ่
  • สามารถรักษาให้หายขาดได้หากตรวจพบในระยะแรก
  • ให้ผลรักษาทันทีหลังการผ่าตัดสำเร็จ

ข้อเสีย:

  • ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว
  • อาจมีผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะที่ผ่าตัด
  • อาจเกิดแผลเป็นหรือปัญหาการติดเชื้อ

ข้อจำกัด:

  • ไม่เหมาะสำหรับมะเร็งระยะลุกลามหรือมะเร็งที่มีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ 
  • มะเร็งบางตำแหน่งอาจไม่สามารถผ่าตัดได้เนื่องจากความเสี่ยงสูง หรืออยู่ในตำแหน่งเข้าถึงยาก

2. การรักษาด้วยรังสีรักษา (Radiation Therapy / Radiotherapy)

รังสีรักษา หรือที่เรียกว่า การฉายรังสี หรือ การฉายแสง เป็นการรักษาโรคมะเร็งด้วยการใช้พลังงานรังสีความแรงสูง ทำลายเซลล์มะเร็งตามตำแหน่งต่าง ๆ ของร่างกาย การรักษาโรคมะเร็ง รังสีชนิดใดใช้รักษาโรคมะเร็งบ้าง จะมีตั้งแต่ การฉายรังสีหลัก ๆ มีทั้ง X-ray (โฟตอน), Gamma ray (จากโคบอลต์-60 ในอดีต ปัจจุบันใช้น้อยลง) และ Proton beam (Proton therapy) รวมถึง heavy ions (เช่น carbon ion) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่

โดยวิธีการฉายรังสีทั่วไป จะสามารถแยกย่อย ดังนี้

  • การฉายรังสีระยะใกล้ (Brachytherapy): เป็นการฉายรังสีใกล้กับบริเวณที่ต้องการรักษาโรค โดยการใส่แร่รังสีในเครื่องมือเข้าไปยังอวัยวะที่เป็นมะเร็ง เพื่อให้ปริมาณรังสีในขนาดที่สูงและตรงจุดที่สุด และลดความเสียหายของเนื้อเยื่อโดยรอบจากการรักษาโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งปากมดลูก ต่อมลูกหมาก
  • การฉายรังสีระยะไกล (External beam radiation therapy, EBRT): เป็นการฉายรังสีโดยใช้เครื่องฉายรังสีที่อยู่ภายนอกร่างกายผู้ป่วย โดยจะมีการกำหนดขอบเขตในการฉายรังสีเพื่อให้บริเวณที่เป็นมะเร็งได้รับรังสีมากที่สุด และลดผลข้างเคียงจากการรักษา เป็นหนึ่งในวิธีการฉายรังสีที่ได้รับความนิยมที่สุด
    • การฉายรังสีแบบปรับความเข้ม (Intensity-Modulated Radiation Therapy, IMRT): เป็นเทคนิคการฉายรังสีระยะไกลที่ทันสมัยและมีความแม่นยำสูง โดยสามารถปรับเปลี่ยนความเข้มของรังสีในระหว่างการรักษาได้ ด้วยการแบ่งลำรังสีหลักออกเป็นลำรังสีย่อยหลาย ๆ ลำ (beamlets) ที่มีความเข้มแตกต่างกัน
    • การฉายรังสีร่วมพิกัด (Stereotactic Body Radiation Therapy, SBRT): เป็นเทคนิคการฉายรังสีที่ความเข้มข้นสูงมากจากหลายทิศทาง มุ่งเป้าไปที่เนื้องอกขนาดเล็กได้อย่างแม่นยำ  เช่น ปอด สมอง ตับ

เทคโนโลยีรังสีรักษาสมัยใหม่สามารถเล็งเป้าไปที่เนื้องอกได้อย่างแม่นยำ ลดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อปกติรอบข้าง การวางแผนการฉายรังสีใช้ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยคำนวณขนาดและทิศทางของรังสีอย่างละเอียด ยังช่วยเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในการรักษามากขึ้นด้วย

ข้อดี:

  • รักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัด
  • สามารถรักษาเฉพาะจุดที่เป็นมะเร็ง
  • เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่ไม่สามารถผ่าตัดได้

ข้อเสีย:

  • อาจมีผลข้างเคียงต่อเนื้อเยื่อปกติรอบ ๆ เช่น ปากแห้ง/กลืนลำบาก (ศีรษะ-คอ), ท้องเสีย (ลำไส้), อ่อนเพลียทั่วไป
  • ต้องได้รับการรักษาหลายครั้ง
  • สร้างภาระให้กับร่างกายระหว่างการรักษา
ข้อจำกัด:
  • ไม่เหมาะสำหรับมะเร็งที่แพร่กระจายไปหลายตำแหน่ง
  • มะเร็งบางชนิด เช่น Renal cell carcinoma, Melanoma ที่มี Radioresistance ต้องใช้รังสีขนาดสูงหรือวิธีอื่นประกอบ

มะเร็งระยะไหนต้องฉายแสง

หากถามว่ามะเร็งระยะไหนต้องฉายแสงบ้าง การฉายแสงจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้

  • มะเร็งระยะที่ 1-3: ใช้รังสีในหลายชนิดมะเร็งเพื่อกำจัดเซลล์ที่เหลือหลังผ่าตัดหรือลดการกลับเป็นซ้ำ แต่ไม่ใช่ทุกรายที่สามารถใช้การฉายแสงได้
  • มะเร็งระยะที่ 4: ใช้การฉายแสงเพื่อบรรเทาอาการและควบคุมการเจริญเติบโตของเนื้องอก (Palliative Care)
  • กรณีพิเศษ: ใช้การฉายแสงในการรักษาโรคมะเร็งเมื่อไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้

3. การรักษาด้วยเคมีบำบัด (Chemotherapy)

การให้เคมีบำบัดมะเร็ง หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า คีโม เป็นการใช้ยาต้านมะเร็งที่แพร่ไปทั่วร่างกายผ่านระบบไหลเวียนโลหิต เพื่อยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งที่อาจแพร่กระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยตัวอย่างของยาเคมีบำบัดที่ใช้ในการรักษา เช่น Alkylating agents, Antimetabolites, Topoisomerase inhibitors และ Mitotic inhibitors เป็นต้น

โดยปัจจุบัน มีการพัฒนาเคมีบำบัดแบบใหม่ที่มีผลข้างเคียงน้อยลง เช่น การให้ยาแบบรับประทาน (Oral) การปรับขนาดยาตามพันธุกรรมของผู้ป่วย และการใช้ยาเคมีบำบัดร่วมกับการรักษาอื่น ๆ รวมถึงการรักษาโรคมะเร็งเพื่อบรรเทาอาการ เพื่อให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ข้อดี:

  • เหมาะสำหรับการรักษาโรคมะเร็งที่แพร่กระจายไปทั่วร่างกาย
  • เหมาะสำหรับการรักษาโรคมะเร็งระยะลุกลาม
  • สามารถใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ ได้

ข้อเสีย:

  • มีผลข้างเคียงมาก เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง
  • อาจมีอาการดื้อยาในระยะยาว

ข้อจำกัด:

  • มะเร็งบางชนิดอาจต้านทานต่อเคมีบำบัด
  • ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีสุขภาพย่ำแย่

 

การฉายแสงกับคีโมต่างกันอย่างไร

ความแตกต่างหลักระหว่างการฉายแสงกับคีโมต่างกันอย่างไรบ้าง สามารถแบ่งความแตกต่างได้ ดังนี้

กลไกการรักษา:

  • ฉายแสง: ใช้รังสีทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรง ทำให้เซลล์ไม่สามารถแบ่งตัวและตายในที่สุด
  • คมีบำบัด: ใช้สารเคมีเข้าไปรบกวนกระบวนการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งผ่านกระแสเลือด

ขอบเขตการรักษา:

ฉายแสง: เป็นการรักษาเฉพาะจุด (Local Treatment) มุ่งเป้าไปที่บริเวณที่มีเนื้องอกมะเร็ง

เคมีบำบัด: เป็นการรักษาทั่วร่างกาย (Systemic Treatment) ให้ตัวยากระจายไปยังทุกส่วนของร่างกาย

4. การรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัด (Hormone Therapy)

การรักษาด้วยฮอร์โมนบำบัดเหมาะสำหรับมะเร็งที่พึ่งพาฮอร์โมนในการเจริญเติบโต เช่น มะเร็งเต้านมที่มีตัวรับเอสโตรเจน (Estrogen receptor, ER) หรือตัวรับโปรเจสเตอโรน (Progesterone receptor, PR) และมะเร็งต่อมลูกหมากที่พึ่งพาฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน โดยการใช้ยาฮอร์โมนบำบัดเพื่อยับยั้งการทำงานของเซลล์มะเร็งผ่านตัวรับฮอร์โมนหรือเอนไซม์ที่เกี่ยวข้อง โดยมีตัวยาที่ใช้บ่อย เช่น Tamoxifen, Aromatase inhibitors (Anastrozole, Letrozole) สำหรับมะเร็งเต้านม และ Anti-androgens สำหรับมะเร็งต่อมลูกหมาก

ข้อดี

  • มีผลข้างเคียงน้อยกว่าเคมีบำบัด
  • สามารถใช้เป็นระยะเวลานานได้ (5-10 ปี)*
  • ป้องกันการกลับเป็นซ้ำได้ดี

ข้อเสีย

  • อาจส่งผลต่อชีวิตทางเพศ
  • อาจมีผลข้างเคียงระยะยาว
  • การตอบสนองต่อการรักษาอาจช้า

ข้อจำกัด

  • ไม่เหมาะสำหรับมะเร็งที่ไม่พึ่งพาฮอร์โมน
  • ต้องติดตามผลข้างเคียงอย่างใกล้ชิด

*ในมะเร็งเต้านมชนิด ER+ การให้ฮอร์โมนบำบัด 510 ปี ลดการกลับเป็นซ้ำและผลกระทบระยะยาว 

5. การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)

การรักษาโรคมะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดเป็นการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ต่อต้านเซลล์มะเร็ง โดยตัวอย่างยาที่ใช้ เช่น ยายับยั้งจุดตรวจภูมิคุ้มกัน หรือ Immune checkpoint inhibitors (PD-1, PD-L1, CTLA-4 inhibitors), CAR-T cell therapy หรือการรักษาโรคมะเร็งด้วยการดัดแปลงเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำลายเซลล์มะเร็ง และการฉีดวัคซีนรักษาโรคมะเร็ง (Cancer vaccine)

ภูมิคุ้มกันบำบัดนี้ ถือเป็นนวัตกรรมในการรักษาโรคมะเร็งแบบใหม่ที่ให้ความหวังแก่ผู้ป่วยมะเร็งระยะลุกลาม โดยเฉพาะมะเร็งที่เคยถือว่ารักษาได้ยาก เช่น มะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา มะเร็งปอด และมะเร็งไต

ข้อดี:

  • ใช้ระบบภูมิคุ้มกันตัวเองในการรักษา
  • เหมาะสำหรับมะเร็งหลายชนิด
  • สามารถใช้ร่วมกับการรักษาอื่นได้

ข้อเสีย:

  • อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนและผลข้างเคียงของการรักษา
  • ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน

ข้อจำกัด:

  • ผู้ป่วยต้องมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดี: ก่อนเริ่ม Immune Checkpoint Inhibitors ควรประเมินสภาพร่างกายและความเสี่ยง irAEs และมีแผนเฝ้าระวัง/จัดการตามแนวทาง ASCO
  • อาจไม่ได้ผลกับมะเร็งทุกชนิด

6. การรักษามะเร็งเฉพาะจุด (Localized Cancer Treatments)

การรักษาโรคมะเร็งเฉพาะจุด เป็นการใช้เทคนิคและอุปกรณ์ในการทำลายก้อนมะเร็ง เช่น การแช่แข็ง (Cryotherapy) หรือ การใช้คลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency Ablation, RFA)  การใช้คลื่นความถี่ไมโครเวฟ (Microwave ablation)  การให้สารเคมีบำบัดเฉพาะที่ผ่านทางหลอดเลือดแดงเข้าสู่มะเร็งโดยตรง (Transarterial Chemoembolization-TACE และ Transarterial Embolization-TAE) รวมถึงการใช้ยาเคมีบำบัดเพื่ออุดหลอดเลือดที่จะไปเลี้ยงก้อนมะเร็ง และทำให้เซลล์ดังกล่าวตายในที่สุด

ข้อดี:

  • รักษาเฉพาะจุดที่เป็นมะเร็ง
  • ผลข้างเคียงน้อ
  • สามารถทำซ้ำได้หลายครั้ง

ข้อเสีย:

  • อาจต้องเข้ารับการรักษาหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลสมบูรณ์
  • ประสิทธิภาพอาจไม่เท่ากับการผ่าตัดในบางกรณี
  • ต้องมีความเชี่ยวชาญในการทำหัตถการ

ข้อจำกัด:

  • เหมาะสำหรับเนื้องอกขนาดเล็ก
  • ไม่เหมาะสำหรับมะเร็งที่แพร่กระจายและเข้าถึงยาก

7. การรักษาด้วยยาต้านมะเร็งแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy)

การรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้าเป็นการใช้ยาที่มีผลจำเพาะต่อโปรตีนหรือยีนที่ผิดปกติในเซลล์มะเร็ง เพื่อทำการรักษาโรคมะเร็งได้อย่างแม่นยำและเฉพาะเจาะจงมากที่สุด โดยต้องมีการตรวจยีนกลายพันธุ์ในผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อหายีนเป้าหมายและตัวยาที่เหมาะสมสำหรับการรักษา และมีผลข้างเคียงที่น้อยที่สุด ตัวอย่างยามุ่งเป้าที่นิยมใช้ในการรักษาโรคมะเร็ง จะมีตั้งแต่

  • Trastuzumab (Herceptin): สำหรับมะเร็งเต้านมที่มี HER2 positive
  • Imatinib (Gleevec): สำหรับมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรัง
  • Osimertinib (Tagrisso): สำหรับมะเร็งปอดที่มี EGFR mutation
  • Vemurafenib (Zelboraf): สำหรับมะเร็งผิวหนังที่มี BRAF mutation

ข้อดี:

  • มีประสิทธิภาพสูงต่อเซลล์มะเร็งที่มีเป้าหมายเฉพาะ
  • ผลข้างเคียงน้อยกว่าเคมีบำบัดทั่วไป
  • สามารถใช้ร่วมกับการรักษาอื่นได้

ข้อเสีย:

  • ใช้ได้เฉพาะมะเร็งที่มีเป้าหมายจำเพาะ

ข้อจำกัด:

  • ต้องมีการตรวจ Biomarker ที่เกี่ยวข้อง อาจใช้ Targeted Panel หรือ การตรวจรหัสพันธุกรรมแบบครอบคลุม (Comprehensive Genomic Profiling) ตามข้อบ่งชี้ทางคลินิก
  • อาจไม่ได้ผลกับมะเร็งทุกชนิด

8. การรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต (Stem Cell Transplantation)

การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต หรือ Stem cell รักษาโรคมะเร็ง เป็นการนำเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต (Stem Cell) จากแหล่งกำเนิด เช่น ไขกระดูก และเลือดจากร่างกายของตนเอง หรือผู้บริจาคมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งต่าง ๆ เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง รวมถึงโรคอื่น ๆ เช่น โรคธาลัสซีเมีย เป็นต้น 

ข้อดี:
  • สามารถรักษามะเร็งเม็ดเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ฟื้นฟูระบบการสร้างเลือดที่เสียหายจากการรักษา 

ข้อเสีย:

  • ค่าใช้จ่ายสูงมาก
  • ระยะเวลาการรักษาและฟื้นตัวยาวนานมาก
  • มีความเสี่ยงในการรักษา

ข้อจำกัด:

  • เหมาะสำหรับผู้ป่วยอายุไม่มาก หรือตามความเหมาะสมร่างกายตามแพทย์ประเมิน
  • ต้องหาผู้บริจาคที่เข้ากันได้

การเลือกวิธีรักษาตามระยะของมะเร็ง

การวินิจฉัยโรคมะเร็ง และการวางแผนรักษา
การเลือกวิธีรักษาโรคมะเร็งให้หายขาดขึ้นอยู่กับระยะของโรคและปัจจัยอื่นๆ ดังนี้

  • มะเร็งระยะที่ 1-2: เน้นการผ่าตัด และฉายรังสี การรักษาโรคมะเร็งในระยะนี้อัตราหายขาดแตกต่างกันมากน้อยตามชนิดและชีววิทยาของมะเร็ง
  • มะเร็งระยะที่ 3: ใช้การรักษาผสมผสาน (Multimodal Treatment) ร่วมกันหลายวิธี อาจเริ่มด้วยเคมีบำบัดเพื่อลดขนาดเนื้องอกก่อน หรือการใช้รังสีรักษาและฮอร์โมนบำบัดในบางกรณี
  • มะเร็งระยะที่ 4: เน้นการรักษาด้วยเคมีบำบัด การรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า และภูมิคุ้มกันบำบัด เป้าหมายคือควบคุมโรคและยืดอายุ/คุณภาพชีวิต และอาจมี รังสี/หัตถการเฉพาะจุดแบบประคับประคอง ร่วมด้วยตามอาการ.

ปัจจัยในการตัดสินใจรักษา

แพทย์จะพิจารณาวิธีรักษาโรคมะเร็งจากหลายปัจจัยด้วยกัน อาทิ

  • ชนิดและขนาดของเนื้องอก: มะเร็งแต่ละชนิดจะมีพฤติกรรมและการตอบสนองต่อการรักษาแต่ละประเภทที่แตกต่างกัน
  • การแพร่กระจายของโรค: การตรวจหาระยะของโรคมะเร็ง เพื่อดูว่าโรคแพร่กระจายไปไหนบ้าง
  • อายุและสุขภาพโดยรวม: ผู้ป่วยที่มีอายุมากหรือมีโรคประจำตัวอาจต้องปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพและความพร้อมของร่างกาย
  • ยีนกลายพันธุ์ในผู้ป่วยมะเร็ง: โดยเฉพาะในการรักษาแบบมุ่งเป้าเพื่อหายาที่เหมาะสมที่สุด
  • ความต้องการและทัศนคติของผู้ป่วย: การมีส่วนร่วมของผู้ป่วยในการตัดสินใจรักษาโรคมะเร็ง ก็มีส่วนสำคัญเช่นเดียวกัน

การติดตามผลการรักษา

การติดตามผลการรักษาโรคมะเร็ง

การติดตามผลการรักษาโรคมะเร็ง (Cancer Monitoring) ถือเป็นส่วนสำคัญของขั้นตอนการรักษามะเร็ง เพื่อประเมินผลการรักษาที่ผ่านมา และนำข้อมูลที่ได้ไปปรับใช้ในการรักษาขึ้นต่อไป โดยการติดตามผลจะมีตั้งแต่

  • การตรวจตามนัด: เพื่อประเมินการตอบสนองต่อการรักษา
  • การตรวจโรคตกค้างน้อยที่สุด หรือ Minimal Residual Disease (MRD): เป็นตรวจหาเซลล์มะเร็งที่คงเหลือหลังการรักษา
  • การตรวจทางภาพถ่าย: เช่น การตรวจ CT, MRI, PET Scan เพื่อติดตามสถานะของโรค

ความสำคัญของการติดตาม

การติดตามผลการรักษาโรคมะเร็งอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ผู้ป่วยและแพทย์สามารถ

  • ตรวจหาการกลับเป็นซ้ำ: เพื่อวัดผลและทำการรักษาได้ทันท่วงที
  • ปรับแผนการรักษา: เช่น การเปลี่ยนตัวยาหรือวิธีรักษาหากไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง
  • ประเมินผลข้างเคียง: เพื่อจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นจากการรักษา
  • วางแผนการดูแลระยะยาว: เตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตหลังการรักษา

การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Wellness) ระหว่างการรักษา

การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Wellness) ระหว่างการรักษาโรคมะเร็งนั้น ควรที่จะครอบคลุมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เพราะการรักษาที่ดีนั้น ไม่เพียงแต่มุ่งเน้นการกำจัดเซลล์มะเร็งเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ป่วยตลอดการเดินทางในการต่อสู้กับโรค

การดูแลร่างกาย

การดูแลร่างกายระหว่างการรักษา: คอยจัดการและป้องกันผลข้างเคียงต่าง ๆ เช่น หลีกเลี่ยงอาหารรสจัดหากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน พักผ่อนและออกกำลังกายให้เพียงพอ และป้องกันการติดเชื้อ ด้วยการล้างมือเป็นประจำ จัดการอาการปวดด้วยยาหรือคำแนะนำจากแพทย์
การฟื้นฟูหลังการรักษา: ออกกำลังกายเป็นประจำ ตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำของโรคมะเร็ง

การดูแลด้านจิตใจ

  • คอยศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรคและแผนการรักษาเพื่อลดความกังวล
  • รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญทางจิตวิทยา เพื่อช่วยจัดการความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า
  • เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนผู้ป่วย แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการดูแลตนเอง และพบเจอมิตรภาพใหม่ ๆ
  • ร่วมกิจกรรมเสริมคุณภาพชีวิต เช่น ศิลปะบำบัด ดนตรีบำบัด การทำสมาธิและโยคะ

การรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบันมีทางเลือกหลากหลายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการแพทย์เฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) และเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ ที่ช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสหายขาดและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การผสมผสานการรักษาหลายวิธี ร่วมกับการดูแลแบบองค์รวมที่ครอบคลุมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งสามารถต่อสู้กับโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

และสิ่งสำคัญในการรักษาโรคมะเร็งนั้น นอกจากการได้รับการวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสมโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและ การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเลือกการรักษา และการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจรักษา ร่วมกับการดูแลตนเองอย่างครอบคลุมและการสนับสนุนจากครอบครัวและสังคม จะช่วยให้การต่อสู้กับมะเร็งมีความหวังและมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นได้

 

บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทฯ ในเครือ BGI Genomics ที่ก่อตั้งในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ที่ได้รับมาตรฐาน ISO15189, ISO15190 และ ISO/IEC 27001:2022 จากสถาบันมาตรฐานอังกฤษ (BSI) ให้บริการตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรมที่ครอบคลุมในหลายด้าน ได้แก่

  • การตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมของทารกในครรภ์มารดา
  • การตรวจคัดกรองพาหะโรคทางพันธุกรรมสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตร หรือมีบุตรยาก
  • การตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนก่อมะเร็ง เพื่อหาตัวยาในการรักษาแบบเฉพาะบุคคล
  • การตรวจคัดกรองความเสี่ยงยีนก่อโรคการเกิดมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
  • การตรวจวิเคราะห์กลุ่มโรคติดเชื้อ รวมถึงมะเร็งปากมดลูกและ COVID-19
  • การตรวจวิเคราะห์พันธุกรรมเฉพาะบุคคลเพื่อวางแผนสุขภาพและชะลอวัย
ติดต่อเรา

โทร: 094 616 6878
อีเมล: marketing@bangkokgenomics.com
เว็บไซต์: https://www.bangkokgenomics.com
ที่อยู่: 3689 ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กทม. 1011
เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 8.30-17.30 น., เสาร์ 9.00-15.00 น.


บทความที่เกี่ยวข้อง
ทำความรู้จักภาวะสมองเสื่อม (Dementia) ภัยเงียบของผู้สูงอายุ
ภาวะสมองเสื่อมไม่ใช่เพียงการหลงลืมตามธรรมชาติของวัย แต่เป็นความผิดปกติของการทำงานของสมองที่ต้องการการดูแลทางการแพทย์อย่างจริงจัง มาทำความรู้จักภาวะสมองเสื่อมให้มากขึ้น
Alzheimer's Disease: Understanding the Leading Cause of Dementia and Its Impact
Learn about Alzheimer's disease, why you get Alzheimer's, how it affects daily life, treatment options, and the relationship between dementia and brain degeneration.
มะเร็งระยะที่ 4 กับความหวังใหม่ในการรักษาและการดูแลแบบองค์รวม
มะเร็งระยะที่ 4 หรือมะเร็งระยะลุกลาม ต่างมีทางเลือกการรักษาที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้ผู้ป่วยมีอายุที่ยืนยาว พร้อมกับคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy