แชร์

การวินิจฉัยโรคมะเร็ง ขั้นตอนสำคัญสู่การรักษาที่แม่นยำ

38 ผู้เข้าชม

การวินิจฉัยโรคมะเร็ง เป็นกระบวนการทางการแพทย์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการตรวจสอบและยืนยันการมีอยู่ของมะเร็งในร่างกาย การวินิจฉัยโรคมะเร็งที่ถูกต้องและรวดเร็วจะเป็นตัวกำหนดทิศทางการรักษาที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการแพทย์สมัยใหม่ 

การตรวจคัดกรองมะเร็งในผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งรวมถึงการตรวจยีนมะเร็งในผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยแล้ว ช่วยให้สามารถค้นหา การกลายพันธุ์ของยีนที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง ได้อย่างลึกซึ้ง ข้อมูลที่ได้มีประโยชน์ต่อการวางแผนเฝ้าระวังสุขภาพหลังการตรวจคัดกรอง ตลอดจนการกำหนดแนวทางการรักษาแบบมุ่งเป้าที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

บทความนี้จะพาทุกท่านมาทำความรู้จักเกี่ยวกับการวินิจฉัยโรคมะเร็ง ตั้งแต่ความหมาย ความแตกต่างระหว่างการตรวจคัดกรองมะเร็งกับการวินิจฉัยโรคมะเร็ง โปรแกรมตรวจมะเร็งพื้นฐานไปจนถึงแพ็กเกจตรวจมะเร็งที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อให้เข้าใจถึงกระบวนการวินิจฉัยและสามารถเลือกวิธีการตรวจที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของตนเอง

การตรวจคัดกรองมะเร็งคืออะไร แตกต่างจากการวินิจฉัยโรคมะเร็งอย่างไร

การตรวจคัดกรองวินิจฉัยโรคมะเร็งแตกต่างจากตรวจวินิจฉัยคัดกรองมะเร็งอย่างชัดเจน โดยมีข้อแตกต่างสำคัญ ดังนี้

การตรวจคัดกรองมะเร็ง (Cancer Screening)

  • มุ่งเน้นการตรวจหาโรคในระยะเริ่มต้น หรือแม้กระทั่งก่อนแสดงอาการ
  • เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไปที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง
  • จุดประสงค์เพื่อการป้องกัน วางแผนดูแลสุขภาพ และลดโอกาสเกิดโรคมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มแรก

การวินิจฉัยโรคมะเร็ง (Cancer Diagnosis)

  • ทำในผู้ที่มีอาการผิดปกติหรือมีสัญญาณบ่งชี้ว่ามีความเสี่ยงเป็นมะเร็ง
  • วัตถุประสงค์หลักคือยืนยันการมีอยู่ของโรค ระบุชนิดและลักษณะของมะเร็ง รวมถึงประเมินระยะความรุนแรง
  • กระบวนการนี้ซับซ้อนและต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง โดยใช้วิธีการตรวจหลายด้านร่วมกัน เช่น การตรวจร่างกาย การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจทางพยาธิวิทยา และการตรวจพันธุศาสตร์
  • ข้อมูลที่ได้ช่วยให้สามารถวางแผนการรักษาที่แม่นยำและเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย

การเลือกใช้วิธีที่เหมาะสมตามสถานการณ์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา และเพิ่มโอกาสหายขาดจากโรคได้มากขึ้น ดังนั้น การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพและปัจจัยเสี่ยงของแต่ละบุคคล

ความสำคัญของการวินิจฉัยโรคมะเร็งในยุคปัจจุบัน

มะเร็งถือเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย โดยมีผู้ป่วยรายใหม่เกิดขึ้นปีละกว่าแสนราย และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โรคมะเร็งที่พบบ่อยในประชากรไทย ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปอด มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (อ้างอิง: แผนการป้องกันและควบคุมโรคมะเร็งแห่งชาติ พ.ศ. 2567-2575) การวินิจฉัยที่ถูกต้องและรวดเร็ว จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดแนวทางการรักษาที่เหมาะสม ช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิต ลดภาระค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

ความสำคัญของการวินิจฉัยเบื้องต้นต่อการรักษา

การวินิจฉัยโรคมะเร็งที่ล่าช้าอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผลลัพธ์การรักษาและโอกาสรอดชีวิตของผู้ป่วย เนื่องจากเมื่อโรคพัฒนาเข้าสู่ระยะลุกลามหรือแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ความซับซ้อนในการรักษาจะเพิ่มขึ้น และโอกาสหายขาดจะลดลงอย่างชัดเจน

ในทางตรงกันข้าม หากสามารถวินิจฉัยโรคมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นหรือก่อนที่โรคจะแพร่กระจาย จะช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตและทำให้การรักษามีประสิทธิผลมากขึ้น ดังนั้น การตรวจคัดกรองและการวินิจฉัยในระยะต้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดการโรคมะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพ

อาการที่ควรเข้ารับการวินิจฉัยโรคมะเร็ง

สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้ามและอาจบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการวินิจฉัยโรคมะเร็ง ตัวอย่างเช่น

  • อ่อนเพลียเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ต่อเนื่องและไม่ดีขึ้น
  • น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วและไม่ทราบสาเหตุ
  • กลืนอาหารลำบาก หรือเจ็บขณะกลืน
  • การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังหรือไฝที่มีอยู่เดิม
  • การมีเลือดออกผิดปกติจากช่องปาก จมูก หรือบริเวณอื่น ๆ 
  • ประจำเดือนผิดปกติ หรือมีเลือดออกผิดปกติในสตรีวัยหมดประจำเดือน
  • การสัมผัสพบก้อนเนื้อที่แข็งและผิดปกติในร่างกาย
  • มีความผิดปกติในการขับถ่าย เช่น อุจจาระมีสีดำ ปัสสาวะปนเลือด
  • มีอาการไอเรื้อรัง หรือไอเป็นเลือด
  • ต่อมน้ำเหลืองโต และไม่ยุบหายภายใน 24 สัปดาห์
  • ปวดเรื้อรัง โดยเฉพาะที่ไม่ทราบสาเหตุ เช่น ปวดท้อง ปวดกระดูก

กลุ่มเสี่ยงที่ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองและการวินิจฉัยโรคมะเร็ง

การระบุและเฝ้าระวังกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการป้องกันและการวินิจฉัยโรคมะเร็งในระยะเริ่มต้น โดยกลุ่มเสี่ยงหลักที่ควรได้รับการตรวจ ได้แก่:

ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคมะเร็ง
  โดยเฉพาะมะเร็งชนิดที่มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมอย่างชัดเจน เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาจเกิดจากการถ่ายทอดการกลายพันธุ์ของยีนที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง (เช่น BRCA1/2, MLH1, MSH2, APC)

ผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
- การสูบบุหรี่หรือเคยสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสัมพันธ์กับมะเร็งปอด มะเร็งช่องปาก มะเร็งกล่องเสียง และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและเป็นประจำ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งตับ มะเร็งช่องปาก มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งเต้านม

ผู้ที่สัมผัสกับสารก่อมะเร็ง
เช่น สารเคมีอุตสาหกรรม โลหะหนัก สารหนู แร่ใยหิน หรือการได้รับรังสีในปริมาณสูง

ผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน (Obesity)
ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สัมพันธ์กับมะเร็งหลายชนิด ได้แก่ มะเร็งเต้านมในสตรีวัยหมดประจำเดือน มะเร็งเยื่อบุมดลูก มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งตับ

กลุ่มอายุที่มีความเสี่ยงสูง
อัตราการเกิดโรคมะเร็งเพิ่มสูงขึ้นตามอายุ เช่น ชายอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปควรเข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก และสตรีอายุ 40 ปีขึ้นไปควรตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยแมมโมแกรม

ขั้นตอนและวิธีการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง: แนวทางเชิงวิชาการตามมาตรฐานสากล

การวินิจฉัยโรคมะเร็งในระยะเริ่มต้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากช่วยเพิ่มโอกาสการรักษาให้หายขาด และลดภาระของโรคทั้งต่อผู้ป่วยและระบบสาธารณสุข แนวทางของ NCCN (National Comprehensive Cancer Network), ESMO (European Society for Medical Oncology), และ WHO (World Health Organization) เน้นการดำเนินการแบบ multidisciplinary approach ที่ครอบคลุมตั้งแต่การซักประวัติ การตรวจร่างกาย การใช้เทคนิคทางห้องปฏิบัติการ การถ่ายภาพทางการแพทย์ ไปจนถึงการยืนยันด้วยการเก็บชิ้นเนื้อ (biopsy) และการตรวจทางพันธุศาสตร์/โมเลกุล

ขั้นตอนที่ 1: การซักประวัติผู้ป่วย (History Taking)

  • ประวัติครอบครัวและพันธุกรรม: การมีญาติสายตรงเป็นมะเร็ง เช่น มะเร็งเต้านม รังไข่ ลำไส้ใหญ่  ให้พิจารณาการให้คำปรึกษาทางพันธุกรรม และการตรวจหายีนกลายพันธุ์ (BRCA1/2, MLH1, MSH2, APC ฯลฯ)
  • ปัจจัยเสี่ยงจากพฤติกรรม: การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ ภาวะอ้วน และการสัมผัสสารก่อมะเร็ง
  • อาการผิดปกติ: น้ำหนักลด อ่อนเพลีย ก้อนเนื้อผิดปกติ เลือดออกผิดปกติ ฯลฯ

NCCN แนะนำให้ซักประวัติครอบครัวอย่างน้อย 3 รุ่น; WHO เน้นให้บูรณาการปัจจัยเสี่ยงร่วมกับการตรวจคัดกรองที่เหมาะสม

ขั้นตอนที่ 2: การตรวจร่างกาย (Physical Examination)

  • การตรวจผิวหนัง ไฝ หรือแผลเรื้อรัง
  • การคลำหาก้อนผิดปกติ เช่น เต้านม ต่อมน้ำเหลือง
  • การตรวจอวัยวะตามเพศและอายุ เช่น clinical breast exam, digital rectal exam

ESMO และ WHO ย้ำว่าการตรวจร่างกายเป็นวิธีการเบื้องต้นที่จำเป็นและไม่สามารถละเลยได้ แม้ในยุคที่มี การถ่ายภาพทางการแพทย์ (imaging) และการตรวจระดับโมเลกุล (molecular testing) เข้ามามีบทบาทสำคัญ

ขั้นตอนที่ 3: การตรวจทางห้องปฏิบัติการและการตรวจเพิ่มเติม (Laboratory & Ancillary Tests)

  • การตรวจสารบ่งชี้มะเร็ง (Tumor Markers)
    คือ การตรวจหาสารโปรตีนหรือโมเลกุลเฉพาะที่เซลล์มะเร็งสร้างขึ้นและปล่อยออกสู่กระแสเลือด โดยตรวจได้จากการ เจาะเลือด ตัวอย่างเช่น
    • PSA (Prostate-Specific Antigen): มะเร็งต่อมลูกหมาก
    • CA125: มะเร็งรังไข่
    • CEA (Carcinoembryonic Antigen): มะเร็งลำไส้ใหญ่
    สารเหล่านี้มีประโยชน์ในการ ติดตามผลการรักษาและเฝ้าระวังการกลับเป็นซ้ำ แต่ตามแนวทาง NCCN/ESMO ไม่แนะนำให้ใช้เป็นเครื่องมือคัดกรองในประชากรทั่วไป เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านความไวและความจำเพาะ
  • การถ่ายภาพทางการแพทย์ (Imaging) 
    คือ การใช้เทคนิคการสร้างภาพเพื่อประเมินความผิดปกติของอวัยวะและการแพร่กระจายของมะเร็ง ตัวอย่างเช่น 
    X-ray: ตรวจเบื้องต้น เช่น ปอด
    CT Scan: ประเมินระยะโรคและการแพร่กระจาย
    MRI: เหมาะสำหรับสมองและอวัยวะเนื้อเยื่ออ่อน
    PET/CT: ประเมิน metabolic activity และการแพร่กระจายของมะเร็ง
    การถ่ายภาพมีประโยชน์ในการ staging และวางแผนการรักษา แต่ไม่สามารถยืนยันชนิดของมะเร็งได้ จึงต้องใช้ร่วมกับการตรวจชิ้นเนื้อ
  • การเก็บชิ้นเนื้อ (Biopsy)
    การนำตัวอย่างเนื้อเยื่อจากบริเวณที่สงสัยมาตรวจทางพยาธิวิทยา ซึ่งถือเป็น มาตรฐานทองคำ (Gold Standard) ของการวินิจฉัยโรคมะเร็ง
    การตรวจนี้สามารถระบุ ชนิด ระดับความรุนแรง และลักษณะทางจุลพยาธิวิทยา ของมะเร็งได้อย่างแม่นยำ ปัจจุบันยังนิยมทำ molecular profiling เช่น NGS (Next generation Sequencing), IHC (Immunohistochemistry) , FISH (Fluorescence in situ Hybridization) เพื่อตรวจหาการกลายพันธุ์ (EGFR, ALK, KRAS, BRCA) ที่ใช้กำหนดแนวทางการรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted therapy) และภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)
  • การส่องกล้อง
    คือ การใช้กล้องส่องตรวจอวัยวะภายในเพื่อดูความผิดปกติโดยตรงและสามารถเก็บชิ้นเนื้อได้ในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างเช่น
    • Colonoscopy: ตรวจลำไส้ใหญ่
    • Gastroscopy: ตรวจหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร
    • Bronchoscopy: ตรวจหลอดลมและปอด
    การส่องกล้องมีประโยชน์ในการวินิจฉัย ยืนยันผล และเก็บชิ้นเนื้อ โดย WHO และ NCCN ย้ำว่าเป็น gold standard ในมะเร็งระบบทางเดินอาหารและมะเร็งปอด

ขั้นตอนที่ 4: การประเมินและวางแผนการตรวจต่อเนื่อง (Assessment & Planning)

ขั้นตอนการรวบรวมผลการตรวจทั้งหมดเพื่อนำมา ยืนยันการวินิจฉัย (diagnosis) และระยะของโรค (staging) จากนั้นจึงเข้าสู่การประชุม Multidisciplinary Team (MDT) ซึ่งประกอบด้วยอายุรแพทย์มะเร็ง ศัลยแพทย์ รังสีรักษา พยาธิแพทย์ และนักพันธุศาสตร์ เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย

การวางแผนการรักษาในปัจจุบันมุ่งเน้น precision oncology โดยอาศัยข้อมูลจาก biomarker และ molecular profiling ควบคู่กับภาวะสุขภาพของผู้ป่วย เพื่อให้ได้การรักษาแบบ personalized treatment ที่มีประสิทธิภาพและตรงเป้าหมายมากที่สุด

ตามแนวทาง NCCN และ ESMO การใช้ MDT และ precision oncology ถือเป็น มาตรฐานการดูแล (standard of care) ในการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง

การตรวจยีนมะเร็งด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่

เทคโนโลยีการตรวจพันธุกรรม (Genetic Testing) และจีโนมิกส์ (Genomics) ได้เข้ามาปฏิวัติการวินิจฉัยโรคมะเร็ง โดยสามารถวิเคราะห์การกลายพันธุ์ของยีนได้อย่างละเอียดและแม่นยำกว่าวิธีดั้งเดิม ไม่เพียงช่วยในการตรวจพบมะเร็งระยะเริ่มต้นได้ง่ายขึ้น แต่ยังให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลักษณะทางพันธุกรรมเฉพาะของผู้ป่วยแต่ละราย

ข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นรากฐานสำคัญของ การแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine) และ การดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) ซึ่งทำให้แพทย์สามารถเลือกการรักษาที่ตรงเป้าหมาย เช่น การใช้ยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) หรือภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ตาม biomarker ที่ตรวจพบ

แนวทางสากลจาก NCCN, ESMO และ WHO ยืนยันว่า การตรวจระดับโมเลกุล (Molecular Testing) และการตรวจยีนมะเร็ง (Cancer Genetic Testing) ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่จำเป็นก่อนการกำหนดแนวทางการรักษาผู้ป่วยมะเร็งในปัจจุบัน

การใช้เทคโนโลยี Next Generation Sequencing (NGS) ในการตรวจหายีนก่อมะเร็ง

การตรวจรหัสพันธุกรรมแบบครอบคลุม (Comprehensive Genomic Profiling) ด้วยเทคโนโลยี Next Generation Sequencing เป็นเทคโนโลยีการอ่านลำดับเบสยุคใหม่ที่ปฏิวัติการวินิจฉัยโรคมะเร็ง ด้วยความสามารถในการอ่านรหัสพันธุกรรมจำนวนมากได้พร้อมกันอย่างรวดเร็วและแม่นยำ การตรวจลักษณะนี้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลดีเอ็นเอของเซลล์มะเร็งได้อย่างละเอียดและครอบคลุม ทำให้สามารถตรวจพบการกลายพันธุ์ของยีนหลายพันตำแหน่งในเวลาเดียวกัน

ข้อมูลที่ได้จากเทคโนโลยี Next Generation Sequencing ช่วยให้แพทย์เข้าใจ ลักษณะทางพันธุกรรมเฉพาะของมะเร็งแต่ละชนิด และสามารถระบุยีนที่มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดและการพัฒนาของมะเร็งได้อย่างเจาะจง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการเลือกการรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) และการแพทย์แม่นยำ (Precision Oncology)

ระยะเวลาในการตรวจหามะเร็ง กี่วันรู้ผล

สำหรับผู้ที่สงสัยว่าการตรวจมะเร็ง กี่วันรู้ผลนั้น ระยะเวลาในการได้รับผลตรวจมักจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ รูปแบบการตรวจ ความซับซ้อนของการวินิจฉัยโรคมะเร็ง ความพร้อมของห้องปฏิบัติการ และจำนวนตัวอย่างที่รอการตรวจ เช่น การเจาะเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้มะเร็ง โดยทั่วไปจะสามารถทราบผลการตรวจได้ภายใน 3-5 วันทำการ ในขณะที่การเก็บชิ้นเนื้อ โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 7-14 วันทำการ 

สำหรับการตรวจยีนมะเร็งด้วยเทคโนโลยี NGS หรือ Comprehensive Genomic Profiling กระบวนการตรวจอาจใช้เวลานานกว่าการตรวจทางห้องปฏิบัติการทั่วไป โดยปกติอยู่ในช่วงประมาณ 14-21 วันทำการ เนื่องจากต้องผ่านหลายขั้นตอนที่มีความซับซ้อน ได้แก่

  • การเตรียมตัวอย่าง (Sample Preparation): การสกัดและเตรียมสารพันธุกรรมจากชิ้นเนื้อหรือตัวอย่างเลือด
  • การหาลำดับเบสและวิเคราะห์ข้อมูล (Sequencing & Bioinformatics Analysis): การอ่านรหัสพันธุกรรมในปริมาณมากและประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่
  • การตีความผล (Interpretation): ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของนักวิทยาศาสตร์ นักเทคนิคการแพทย์และนักพันธุศาสตร์เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลกับการรักษา
  • ปัจจัยอื่น ๆ เช่น การจัดลำดับความสำคัญของตัวอย่าง (sample priority) และปริมาณงานในห้องปฏิบัติการช่วงเวลานั้น

ระยะเวลาที่ใช้จึงขึ้นอยู่กับ ความซับซ้อนของการตรวจและภาระงานของห้องปฏิบัติการ แต่ผลลัพธ์ที่ได้มีคุณค่ามาก เพราะสามารถระบุ การกลายพันธุ์และ biomarker ที่เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนการรักษาแบบมุ่งเป้า (Precision Oncology) ได้อย่างแม่นยำ

โปรแกรมและแพ็กเกจตรวจมะเร็งจาก Bangkok Genomics Innovation

Bangkok Genomics Innovation มีแพ็กเกจตรวจมะเร็งที่ครอบคลุมและใช้เทคโนโลยี Next Generation Sequencing ที่รวดเร็วและแม่นยำ เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งรูปแบบต่าง ๆ โดยเรามีบริการตรวจคัดกรองมะเร็งชั้นนำทั้งหมด 3 แพ็กเกจ ได้แก่

1. การตรวจคัดกรองความเสี่ยงยีนก่อโรคมะเร็งทางพันธุกรรม (SENTIS Hereditary Cancer Screening)

โปรแกรมตรวจมะเร็ง SENTIS เป็นบริการตรวจคัดกรองมะเร็งที่เกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมในครอบครัว (Germline mutation) โดยใช้เทคโนโลยี Next Generation Sequencing เพื่อคัดกรองความเสี่ยงของยีนก่อโรคมะเร็ง เหมาะสำหรับผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง รวมถึงผู้ที่มีญาติสายตรงป่วยด้วยโรคมะเร็งตั้งแต่อายุน้อย เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น

2. การตรวจคัดกรองความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colotect)

Colotect เป็นบริการตรวจหารูปแบบการ Methylation สำหรับมะเร็งลำไส้ใหญ่เฉพาะทางที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยในการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบบ่อยในประเทศไทย การตรวจนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการตรวจพบมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง การตรวจคัดกรองมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากสามารถตรวจพบโรคในระยะเริ่มต้น ซึ่งเป็นช่วงที่การรักษามีประสิทธิภาพสูงและเพิ่มโอกาสในการหายขาดได้มากขึ้น

3. การตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนในผู้ป่วยมะเร็ง (OncoPress)

OncoPress เป็นแพ็กเกจตรวจมะเร็งเฉพาะสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยโรคมะเร็งแล้ว โดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์ยีนที่เกี่ยวข้องกับการเกิดและการพัฒนาของมะเร็ง เพื่อตรวจหาการกลายพันธุ์ที่มีความสำคัญต่อการเลือกวิธีการรักษา ผลลัพธ์ที่ได้สามารถนำมาใช้ประกอบการวางแผนการรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) รวมถึงการเลือกใช้ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) หรือภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ที่เหมาะสมกับลักษณะทางพันธุกรรมของเซลล์มะเร็งในผู้ป่วยแต่ละราย

การเลือกแพ็กเกจตรวจมะเร็งที่เหมาะสม

ารเลือกแพ็กเกจตรวจคัดกรองหรือการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งจาก Bangkok Genomics Innovation (BKGI) ควรพิจารณาจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ อายุ เพศ ประวัติครอบครัว ภาวะสุขภาพ และวัตถุประสงค์ของการตรวจ เพื่อให้ได้บริการที่ตรงความต้องการและมีประสิทธิภาพสูงสุด

แพ็กเกจสำหรับผู้ที่ยังไม่เป็นมะเร็งแต่มีความเสี่ยงสูง

  • SENTIS Hereditary Cancer Screening: เหมาะสำหรับบุคคลที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็ง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ เพื่อตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม และใช้ในการวางแผนเฝ้าระวังเชิงป้องกัน
  • Colotect: สำหรับการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่เฉพาะทาง เมื่อตรวจพบเลือดหรือเลือดแฝงในอุจจาระ  เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่

แพ็กเกจสำหรับผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องการการรักษาเฉพาะบุคคล

  • OncoPress: สำหรับการตรวจยีนมะเร็งเพื่อหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสม และการติดตามผลการรักษา (Cancer Monitoring)

การเลือกสถานที่ในการตรวจหามะเร็งที่ไหนดีนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโปรแกรมตรวจคัดกรองมะเร็งในราคาที่สมเหตุสมผลและคุ้มค่าเมื่อเทียบกับมาตรฐานการให้บริการ Bangkok Genomics Innovation ในฐานะผู้ให้บริการด้านพันธุศาสตร์การแพทย์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล สามารถนำเสนอแพ็กเกจการตรวจคัดกรองมะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูงและราคาเหมาะสมสำหรับคุณ การลงทุนในการตรวจคัดกรองมะเร็งถือเป็นการป้องกันที่คุ้มค่าในระยะยาว เนื่องจากช่วยลดความเสี่ยงในการตรวจพบโรคในระยะลุกลาม ซึ่งมักต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงกว่าและมีโอกาสหายขาดต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการตรวจพบในระยะเริ่มต้น

การวินิจฉัยโรคมะเร็ง เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากต้องอาศัยทั้งความรู้ ความเชี่ยวชาญ เทคโนโลยีที่ทันสมัย และการทำงานร่วมกันของทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ การเลือกวิธีการตรวจที่เหมาะสมตามสถานการณ์และความเสี่ยงของผู้ป่วย ร่วมกับการติดตามผลอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการค้นพบและรักษามะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้ที่มีความเสี่ยงหรือมีอาการน่าสงสัยควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเข้ารับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและทันเวลา การลงทุนในการตรวจคัดกรองและการวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่เพียงช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาในระยะยาว แต่ยังเป็นการรักษาคุณภาพชีวิตและเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของทั้งตนเองและครอบครัวในอนาคต

บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทฯ ในเครือ BGI Genomics ที่ก่อตั้งในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ที่ได้รับมาตรฐาน ISO15189, ISO15190 และ ISO/IEC 27001:2022 จากสถาบันมาตรฐานอังกฤษ (BSI) ให้บริการตรวจวิเคราะห์ทางพันธุกรรมที่ครอบคลุมในหลายด้าน ได้แก่

  • การตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมของทารกในครรภ์มารดา
  • การตรวจคัดกรองพาหะโรคทางพันธุกรรมสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนมีบุตร หรือมีบุตรยาก
  • การตรวจหาการกลายพันธุ์ของยีนก่อมะเร็ง เพื่อยาในการรักษาแบบเฉพาะบุคคล
  • การตรวจคัดกรองความเสี่ยงยีนก่อโรคการเกิดมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
  • การตรวจวิเคราะห์พันธุกรรมเฉพาะบุคคลเพื่อวางแผนสุขภาพและชะลอวัย

ติดต่อเรา
โทร: 094 616 6878
อีเมล: marketing@bangkokgenomics.com
เว็บไซต์: https://www.bangkokgenomics.com
ที่อยู่: 3689 ถนนพระราม 4 แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กทม. 10110
เวลาทำการ: จันทร์-ศุกร์ 8.30-17.30 น., เสาร์ 9.00-15.00 น.


บทความที่เกี่ยวข้อง
เปรียบเทียบการตรวจ NIPT กับ NIFTY ต่างกันอย่างไร
ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีการตรวจทารกในครรภ์ได้พัฒนาไปอย่างก้าวหน้า ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถเข้าถึงการตรวจสุขภาพที่มีความปลอดภัยและความแม่นยำสูง ที่ไม่เพียงแต่ช่วยให้ทราบสุขภาพของทารกตั้งแต่ระยะแรกของการตั้งครรภ์
Bangkok_Genomics_Innovation__SEO_SEP_01_1
การตั้งครรภ์ถือเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขและน่าตื่นเต้นสำหรับทุกครอบครัว แต่ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่คุณแม่และครอบครัวต้องใส่ใจดูแลสุขภาพของทั้งมารดาและทารกในครรภ์อย่างใกล้ชิด
เจาะลึก 8 วิธีรักษาโรคมะเร็ง แต่ละแบบแตกต่างกันอย่างไร
แนะนำ 8 วิธีการรักษาโรคมะเร็งแบบครอบคลุม ตั้งแต่วิธีการรักษาดั้งเดิมไปจนถึงวิธีการรักษาและเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เพื่อการรักษาโรคมะเร็งที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพสูงสุด
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy